Onlinenewstime.com : PwC ประเทศไทย คาดปี 64 ธุรกิจไทย หันมาลงทุนระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่หนุนการทำงานแบบทางไกล ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง คาดเห็นธุรกิจสถาบันการเงิน-ค้าปลีก หันมาลงทุนระบบมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่หันมายอมรับเทคโนโลยีเร็วขึ้นกว่าเดิม
นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา และหัวหน้าสายงานกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้องค์กรไทยมากกว่า 50% ในปัจจุบัน หันมาใช้ระบบคลาวด์อย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฮบริดคลาวด์ เพราะช่วยสนับสนุน และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานระยะไกล (Remote work) และคาดการณ์ว่า ในปีนี้องค์กรไทย จะยิ่งหันมาลงทุนระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเสริมความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ
“การแพร่ระบาดครั้งนี้ ทำให้บริษัทไทย ให้ความสนใจในการใช้ไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดยโควิด-19 ทำให้ยิ่งมีการใช้งานระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้หลายบริษัท ๆ หันมานิยมใช้ไฮบริดคลาวด์ เพราะเป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอที ที่มีความยืดหยุ่น และเอื้อต่อนโยบายการทำงานจากที่บ้าน” นางสาว วิไลพร กล่าว
นางสาว วิไลพร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันตัวเลือกผู้ให้บริการระบบคลาวด์ มีเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต ที่มีเพียงค่ายยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา และมีบริการไม่กี่ประเภท เช่น อีเมล หรือ แอปพลิเคชันสำหรับงานในออฟฟิศ อย่างไรก็ดี ในช่วงหลัง มีผู้ให้บริการจากจีนและในไทยเองให้เลือกใช้ และครอบคลุมบริการเกือบทุกประเภท
สำหรับประเภทของการใช้งานคลาวด์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้
1) Infrastructure as a Service (IaaS) หรือบริการเฉพาะข องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที เช่น เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บ และระบบจัดการเครือข่าย
2) Platform as a Service (PaaS) หรือบริการระบบงานแพลตฟอร์มบนคลาวด์ เช่น ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ระบบบัญชี และระบบบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management: CRM)
3) Software as a Service (SaaS) หรือบริการระบบซอฟต์แวร์สำหรับผู้ใช้งานบนคลาวด์ เช่น อีเมล แอปพลิเคชันในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ภายในองค์กร หรือ การประชุมผ่านเสียง หรือวิดีโอ
4) Functions as a Service (FaaS) หรือบริการระบบงานคลาวด์ในระดับฟังก์ชัน เช่น โปรแกรมต่าง ๆ
ธุรกิจบริการทางการเงิน-ค้าปลีกจำเป็นต้องใช้คลาวด์
นางสาว วิไลพร คาดว่า ธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจค้าปลีกของไทย จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มลงทุนในระบบคลาวด์มากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในปีนี้ เพราะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 พฤติกรรมผู้บริโภคของทั้ง 2 ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โดยทั้งผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคาร ต้องการจับจ่ายใช้สอย หรือทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สะดวกและมีความหลากหลายในทุกช่องทาง
สอดคล้องกับรายงาน Can you meet customer demand for cloud computing? ของ PwC ที่ระบุว่า ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 จะทำให้อุตสาหกรรมแทบทุกกลุ่ม ต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลเร็วขึ้น เพราะผู้บริโภคตกอยู่ในภาวะที่ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นช่องทางหลัก ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งการทำงาน การซื้อหาสินค้าและบริการ และการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ข้อมูลจากการ์ทเนอร์[1] ยังคาดการณ์ว่า ในปี 2564 แนวโน้มการใช้จ่ายไอทีทั่วโลกจะแตะ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน โดยระบุว่า ผู้ให้บริการคลาวด์น่ าจะเห็นรายได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ หลังจากคลาวด์ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา
หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป นางสาว วิไลพร ยังคาดการณ์ด้วยว่า น่าจะเห็นแนวโน้มการจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระหว่างกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงินและธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลการเงินของสถาบันการเงินต่าง ๆ (Open Banking) ที่ปลอดภัย
โดยสามารถเปิดเผยข้อมูลทางธุรกรรมทางการเงินของลูกค้า ให้บุคคลที่ 3 เช่น สถาบันการเงิน ฟินเทค หรือ บริษัทเทคโนโลยีและไอทีอื่น ๆ เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ หากได้รับการยินยอมผ่านการเปิดช่องทางการเชื่อมต่อของข้อมูล (Application Programming Interface: API) ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสสำคัญ ในการเชื่อมต่อกับบริการทางการเงินอื่น ๆ เพื่อสร้างบริการใหม่ให้แก่ลูกค้า
“การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และการลงทุนในระบบคลาวด์ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทไทย ที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพในปีนี้ที่สถานการณ์การแพร่ระบาด ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง” นางสาว วิไลพร กล่าวทิ้งท้าย
[1] การ์ทเนอร์คาดการใช้จ่ายด้านไอทีทั่วโลกโต 4% ในปี 2564