fbpx
News update

PwC เผยถึงเวลาเอเชียแปซิฟิกต้องกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาค

Onlinenewstime.com : PwC เผยรายงานล่าสุด Asia Pacific’s Time ชี้เอเชียแปซิฟิกต้องยึด 5 เสาหลักในการแก้ปัญหาความท้าทายที่คุกคามการเติบโตของภูมิภาค รวมทั้งเรียกร้องให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคสังคม ร่วมกันปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกประเทศในภูมิภาค จะสามารถมีอนาคตที่มีความก้าวหน้าและยั่งยืนร่วมกัน

นาย เรย์มันด์ ชาว ประธาน PwC ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยถึงรายงาน Asia Pacific’s Time ที่ทำการศึกษาถึงภารกิจเร่งด่วนที่ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคสังคม ต้องร่วมกันปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อสานต่อความสำเร็จของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สั่งสมมากว่าสามทศวรรษว่า

ในช่วงที่ผ่านมาเอเชียแปซิฟิก เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เผชิญกับปัจจัยต่าง ๆ ที่คุกคามการเติบโตอย่างไม่หยุดหย่อน โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย และกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ทุกฝ่าย ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยรายงานได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการมีผู้นำที่แข็งแกร่ง ที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สนับสนุนโดยนโยบายที่เอื้อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล องค์กร และ สังคม

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่สามารถอาศัยการเติบโตแบบอยู่เฉย ๆ ด้วยความหวังที่ว่าการเติบโตทางด้านปัจจัยพื้นฐาน เช่น การขยายตัวของความเป็นเมือง กำลังคน กระแสการค้า และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น จะยังคงดึงดูดการลงทุนในระดับที่เพียงพอ ในภาวะที่ท้าทายอย่างในเวลานี้ได้อีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องรู้จักที่จะพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น และต้องเสริมวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของการลงทุนทั่วโลก ที่มีเอเชียแปซิฟิกเป็นศูนย์กลางให้มากขึ้น”

“หลักการเติบโตแบบใหม่ที่ว่านี้ ต้องอาศัยความยืดหยุ่น การเป็นพันธมิตรและการเป็นเจ้าของร่วมกัน ความโปร่งใส และการมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกันเป็นกุญแจสำคัญ” นาย ชาว กล่าว

ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ ถูกจัดทำขึ้นผ่านมุมมองของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อ งและความท้าทายต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ภาวะการกีดกันทางการค้า ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง ประชากรศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งหมด ล้วนเป็นปัจจัยที่คุกคามการเติบโตของภูมิภาค

อย่างไรก็ดี รายงานได้ระบุถึง 5 เสาหลักสำคัญ ที่มีความเชื่อมโยงกันซึ่งทั้งผู้นำ ผู้บริหาร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ทุกภาคส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต้องนำไปปฏิบัติเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ดังนี้

เสาหลักที่ 1 – ก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล: ธุรกิจต้องตระหนักถึงการขับเคลื่อนองค์กร ไปสู่ดิจิทัล และต้องลำดับความสำคัญของการประยุกต์ใช้โซลูชันเทคโนโลยี ที่เหมาะสมทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของตน อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ จะต้องมีมาตรการป้องกันความเสี่ยง และมีความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามในโลกไซเบอร์ด้วย โดยในส่วนของภาครัฐ ต้องออกกฎระเบียบข้อบังคับที่รัดกุม และมีการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์

เสาหลักที่ 2 – กระตุ้นการเติบโตขององค์กรในระดับภูมิภาค: องค์กรต่าง ๆ ควรพิจารณาการใช้กลยุทธ์ระดับภูมิภาค ที่ขับเคลื่อนด้วยขีดความสามารถ โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน 3 ด้าน ประกอบด้วย ประสิทธิภาพการดำเนินงาน สินค้าและนวัตกรรมด้านกระบวนการ และความเป็นเลิศในการออกสู่ตลาด ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้ดิจิทัล และการขยายการลงทุนไปสู่ภูมิภาคในภาคบริการ

เสาหลักที่ 3 – ปรับสมดุลห่วงโซ่อุปทานและส่งเสริมการใช้นวัตกรรม: บริษัทต่าง ๆ ควรใช้โอกาสที่มี ในการพิจารณาปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของตน และขยายไปสู่การใช้เครือข่ายในระดับภูมิภาคที่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กร สามารถบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต และเครือข่ายการจัดจำหน่ายของตนได้ดีขึ้น และยังช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส และสร้างความยืดหยุ่นให้มีมากขึ้น

เสาหลักที่ 4 – ขยายกำลังแรงงานที่มีความพร้อมสำหรับอนาคต: โปรแกรมการยกระดับทักษะ ที่ตรงกับความต้องการเฉพาะขององค์กรและพนักงาน จะช่วยปรับปรุงความสามารถของแรงงาน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้ ในขณะที่การเป็นพันธมิตรกันระหว่างรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรม จะยิ่งช่วยให้การยกระดับทักษะของบุคลากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลควรเป็นผู้นำ ในการจัดให้ระบบการศึกษาเป็นภารกิจสำคัญ สำหรับการเติบโตในอนาคตของประเทศ รวมทั้งมีการสื่อสารที่ชัดเจน ถึงบทบาทและหน้าที่สำหรับธุรกิจและสังคมด้วย

เสาหลักที่ 5 สร้างความยั่งยืนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่ออนาคตของการลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์: เอเชียแปซิฟิก ต้องสวมบทบาทการเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่า โดยภูมิภาค ควรสร้างให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่จะช่วยให้โลกเดินหน้าไปสู่การปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการหมุนเวียนใช้ทรัพยากร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสนับสนุนการร่วมมือกัน ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม

ทั้งนี้ ตามที่ได้มีการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (The Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งถือเป็นข้อตกลงหุ้นส่วนความร่วมมือที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยประเทศต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกจำนวน 15 ประเทศ รวมถึงไทย ได้ลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจนี้ รายงาน Asia Pacific’s Time ของ PwC นำเสนอมุมมองการเจริญเติบโตของภูมิภาคผ่าน 5 เสาหลักสำคัญดังกล่าว โดยหวังช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ขับเคลื่อนอนาคตที่มีความยั่งยืนและเข้าใจถึงบทบาทใหม่ที่ตนต้องมี อย่างไรก็ดี รายงานของ PwC ฉบับนี้ ตระหนักดีถึงความแตกต่างหลากหลายของภูมิภาค ซึ่งกลยุทธ์การเติบโตที่นำเสนอ สามารถถูกนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละประเทศ เพื่อความสำเร็จต่อไป

ด้านนาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เพราะนอกจากจะเป็นภูมิภาคที่ขนาดโครงสร้างประชากรมีสัดส่วนคิดเป็น 60% ของประชากรโลกแล้ว ยังมีการเปลี่ยนผ่านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จนกลายมาเป็นภูมิภาคชั้นนำของโลกอย่างเช่นทุกวันนี้ อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้นในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแต่ละประเทศ ยิ่งต้องหันมาปรับตัวและร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เพื่อนำพาเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น โดยไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกที่สำคัญของภูมิภาคนี้

“แม้ว่าเอเชียแปซิฟิก จะประกอบไปด้วยประเทศต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันในหลายมิติ แต่เราเชื่อว่า หากทุกภาคส่วนนำ 5 เสาหลักการเติบโตนี้ ไปปฏิบัติก็จะช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นได้ สำหรับการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ได้รับประโยชน์ ในการขยายตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ ของผู้ส่งออกสินค้าไทยในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีกด้วย” นาย นิพันธ์ กล่าว