Onlinenewstime.com : PwC ประเทศไทย คาดปริมาณและมูลค่าการทำดีลส์ในประเทศไทย ในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะสูงกว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ หลังธุรกิจมีความหวังว่าประเทศไทย จะสามารถกลับมารีโอเพนนิ่งอีกครั้ง ชี้มีการควบรวมและซื้อขายกิจการในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภครายย่อยของไทยมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ขณะที่กิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมา
นางสาว ฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปริมาณและมูลค่าการทำดีลส์ในประเทศไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้า จะสูงกว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564
หลังจากที่ภาคธุรกิจเริ่มมีความหวังว่าจะกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติได้อีกครั้ง (Reopening) จึงพร้อมที่จะลงทุน หรือทำกิจกรรมดีลส์ในธุรกิจที่จะเป็นเทรนด์ของโลก หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป เพื่อสามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้ทันทีเมื่อทุกอย่างเริ่มฟื้นตัว
นอกจากนี้ ยังพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 ปริมาณและมูลค่าการของการทำดีลส์ในประเทศไทย ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ค่อนข้างต่ำ
ซึ่งหลายบริษัทมองว่า เป็นจังหวะในการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทบทวนธุรกิจในพอร์ตฟอลิโอ และความสามารถในการทำธุรกิจเดิมของตน
ขณะที่บางแห่งตัดขายธุรกิจ หรือแสวงหาธุรกิจใหม่ที่ตนเองยังขาด หรือมีโอกาสเติบโตในอนาคตมากกว่า เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง นางสาว ฉันทนุช กล่าว
“น่าแปลกใจมากที่เราเห็นกิจกรรมดีลส์ในประเทศไทย ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายเยอะมาก หลายคนอาจมองว่า ตลาดเงียบเพราะโควิด-19 แต่จริง ๆ แล้วหลายบริษัททำดีลส์เงียบ ๆ เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่า การเกิดโควิด-19 เหมือนเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยา ทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในโลก พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น
ธุรกิจจึงกลับมาทบทวนพอร์ตฟอลิโอของตัวเองว่า ธุรกิจที่มีอยู่นั้น มีศักยภาพและความสามารถในการเติบโตแค่ไหน ควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน ที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มของโลกหลังโควิด-19
นี่จึงนำไปสู่การซื้อกิจการเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจของตัวเองทางลัด ในทางกลับกัน หลายบริษัท ก็ตัดสินใจขายทิ้งบางธุรกิจที่มีอยู่แต่ยังเชี่ยวชาญ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่เหมาะกับเทรนด์ในอนาคต เพื่อถือเงินสดเก็บไว้ทำธุรกิจ หรือรอจังหวะที่ดีในการลงทุน” นางสาว ฉันทนุช กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าวของประเทศไทย ยังสอดคล้องกับรายงาน Global M&A Industry Trends: 2021 mid-year outlook ของ PwC ที่วิเคราะห์การทำดีลส์ทั่วโลก และรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดีลส์เพื่อระบุถึงแนวโน้มสำคัญที่ขับเคลื่อนกิจกรรมการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions) และคาดการณ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2564 และในปี 2565
ที่พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ทั่วโลกมีการทำดีลส์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าของดีลส์ โดยมูลค่าของดีลส์ทั่วโลก ยังสร้างสถิติการเติบโตมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อไตรมาส (ราว 33 ล้านล้านบาทต่อไตรมาส)[1] ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น (Special purpose acquisition companies: SPAC) บวกกับการเพิ่มทุนของการลงทุนในหุ้นที่ไม่มีตลาดรอง (Private Equity: PE) และการเข้าซื้อกิจการขององค์กรโดยเน้นไปที่สินทรัพย์ทางด้านเทคโนโลยี
M&A ในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและผู้บริโภครายย่อยของไทยบูม
นางสาว ฉันทนุช กล่าวต่อว่า ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน (Financial Services) และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภครายย่อย (Retail Consumer and Business to Customer) ของไทย ถือเป็นสองกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีการทำดีลส์ควบรวมและซื้อกิจการมากที่สุดในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ปรับโครงสร้างต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไร รองลงมาเป็นธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะรองรับการเติบโตของโลกอนาคต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ อาหารในกลุ่มต้นน้ำ แหล่งวัตถุดิบ และแหล่งผลิต เป็นต้น
แตกต่างจากแนวโน้มการทำดีลส์ทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งรายงานของ PwC ระบุว่า การทำดีลส์ส่วนใหญ่เป็นการควบรวม และซื้อกิจการในธุรกิจเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของเมกะดีลส์ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
ขณะที่การมุ่งไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกิจกรรมการควบรวม และซื้อกิจการในอุตสาหกรรมพลังงาน สาธารณูปโภค และทรัพยากรอีกด้วย โดยพบว่า ปัจจุบันปริมาณและมูลค่าของดีลส์ในอุตสาหกรรมนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด
นางสาว ฉันทนุช กล่าวว่า แม้กิจกรรมการทำดีลส์ในไทยจะมีความคึกคัก แต่ยังมีธุรกิจบางประเภท ที่เห็นการทำดีลส์น้อย เช่น โรงแรม และสายการบิน เพราะถึงแม้ตลาดจะมองว่า ธุรกิจเหล่านี้มีราคาถูกลงกว่าเดิมแล้ว แต่ผู้ซื้อกลับมองว่า ธุรกิจเหล่านี้ ยังไม่ใกล้เวลาฟื้นตัวจริง ๆ หากซื้อกิจการในเวลานี้ เงินที่ลงทุนก็จะจมหายไป เพราะไม่สามารถสร้างรายได้ หรือเงินสดหมุนเวียนในกิจการได้ทันที
โดยมองว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป อาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ น่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและก่อสร้าง ฉะนั้น ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เหล่านี้จะเป็นเทรนด์ในอนาคตของไทย
“แม้ว่าเวลานี้ธุรกิจควรถือเงินสด แต่ไม่ควรกลัว อยากแนะนำให้รีบมองหาโอกาสที่จะเป็นประโยชน์กับธุรกิจในอนาคต หากเราเห็นเทรนด์และมีแหล่งเงินทุนพร้อม ควรรีบทำดีลส์ที่มองไว้ สำหรับธุรกิจที่ยังตั้งรับสถานการณ์วันต่อวัน อยากแนะนำให้แบ่งเวลามาศึกษาเทรนด์ของตลาด และกลับมาทบทวนตัวเองว่า ด้วยรูปแบบธุรกิจเดิม องค์กรเหมาะที่จะโฟกัสธุรกิจไหนที่เข้ากับเทรนด์ หรือธุรกิจยังขาดอะไร ต้องรีบซื้อเข้ามาเสริม
ส่วนธุรกิจอะไรที่ไม่เหมาะ อาจพิจารณาว่า ควรขายออกในเวลานี้ไหม เพื่อที่กำลังคนและเงินของบริษัทจะเหลือมากขึ้น และหาธุรกิจที่จะสร้าง หรือช่วยรักษามูลค่าของกิจการเข้ามาเสริม เพราะการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน อาจไม่เพียงพอสำหรับโลกหลังโควิด-19 แต่ธุรกิจจะต้องมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่อไปที่เกิดขึ้นตลอดเวลา” นางสาว ฉันทนุช กล่าวทิ้งท้าย
[1] อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 33.41 บาท ณ วันที่ 27 กันยายน 2564