Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

PwC ชี้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต้องเร่งกำจัดการใช้พลังงานที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนฯ เพื่อบรรลุเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลก

Onlinenewstime.com : PwC เผยรายงานล่าสุดถึงเวลาแล้ว ที่ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะต้องมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ เพราะโอกาสที่เป้าหมายของการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรมกำลังจะหมดลง

รายงาน Code Red – Asia Pacific’s Time To Go Green ของ PwC เอเชียแปซิฟิก ติดตามอัตราการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภูมิภาคนี้ โดยระบุว่า เอเชียแปซิฟิก จำเป็นจะต้องเพิ่มความพยายามอย่างมากในการลดก๊าซมลพิษ

นอกจากนี้ ยังระบุถึงบทบาทของธุรกิจในการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยร่วมมือกับรัฐบาล ในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และคว้าโอกาสทองในการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในปี 2563 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็น 52% ของการปล่อยก๊าซมลพิษทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งการที่แต่ละประเทศ มีระดับของการพัฒนาและมีสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ย่อมส่งให้ความต้องการพลังงานแตกต่างกันไปด้วย ฉะนั้น ตราบใดที่เชื้อเพลิงฟอสซิล ยังเป็นส่วนสำคัญของการกำหนดสัดส่วนพลังงาน (Energy Mix) ในภูมิภาคนี้ ก็อาจทำให้การดำเนินการเพื่อให้บรรลุการกำจัดคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจนเหลือศูนย์เกิดความล่าช้า

นาย เรย์มันด์ ชาว ประธาน PwC ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยิ่งใหญ่ และรวดเร็วกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจจะต้องมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์

เพราะโอกาสที่เป้าหมายของการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรมกำลังจะหมดลง โดยเอเชียแปซิฟิก มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้ เพราะภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานด้านสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค”

ภาครัฐและภาคธุรกิจต้องร่วมมือกัน

การแข่งขันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จะต้องเริ่มจากความมุ่งมั่นของผู้บริหาร ที่ถูกถ่ายทอดลงมาสู่ระดับพนักงาน ผนวกกับการมีเป้าหมายระดับชาติที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญ ของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภาครัฐมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงาน อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้โดยลำพัง

ด้านนายศรี แนร์ รองประธาน PwC ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “วันนี้ทุกองค์กร มีโอกาสทองในการเติบโตธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้ที่เคลื่อนไหวก่อน และเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจะมีความเป็นต่อในตลาด เพราะทัศนคติของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี และการเกิดขึ้นของตลาดใหม่ ๆ

ด้วยความที่ธุรกิจและตลาดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป จึงอาจไม่มีโซลูชันที่เหมาะกับทุกความต้องการ ดังนั้น ธุรกิจ จำเป็นที่จะต้องประเมินกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะเส้นทางสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควรเริ่มต้นด้วยความคิดที่สดใหม่ในการกำหนดเป้าหมาย ผลการดำเนินงาน และผู้คน”

พลิกโฉมธุรกิจสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

ด้วยแรงกดดันจากประชาคมโลก ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จึงทำให้โฟกัสของการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะต้องเปลี่ยนไป สู่การมีแนวทางในการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนอย่างจริงจัง ในขณะที่ต้องจูงใจให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปฏิบัติตามในกว้าง

ทั้งนี้ ปณิธานของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ต้องการให้ทุกธุรกิจองค์กรคิดใหม่ ทำใหม่ ซึ่งจากวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรแบบครบวงจร (End-to-end Transformation) ทั้งในส่วนของกลยุทธ์ รูปแบบการปฏิบัติการ และเทคโนโลยี ซึ่ง PwC เชื่อว่า การกระตุ้นให้เกิดการลงมือปฏิบัติสำหรับธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกควรประกอบไปด้วย

นาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นวาระเร่งด่วนของโลก หรือจะเรียกว่าเป็น “Code red for humanity” ก็คงไม่ผิดนัก

โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จะต้องแสดงความรับผิดชอบร่วมกันในการเดินหน้าไปสู่การมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อสานต่อพันธกิจของการประชุม COP26 ที่ทั่วโลก ได้มีการทำความตกลงเรื่องเป้าหมายและมาตรการต่าง ๆ ในความพยายามควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส

ซึ่งจะทำให้ในระยะถัดไป ทุก ๆ องค์กรธุรกิจ จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายในการจัดการในเรื่องนี้ โดยองค์กรที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ก่อน ก็ย่อมจะมีความได้เปรียบ ในภาวะที่กระแสของการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้บริโภค ลูกค้า และสังคมส่วนรวม” นาย ชาญชัย กล่าว

ทั้งนี้ โอกาสของการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล ด้วยวิถีการเติบโตของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่เป็นที่รับรู้และถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการเปลี่ยนไปสู่การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ จะทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมมั่นใจได้ว่า ธุรกิจในภูมิภาค ไม่ได้มุ่งเน้นการเติบโตด้วยผลกำไรเท่านั้น แต่ยังต้องการทิ้งมรดกตกทอดที่มีค่าและยั่งยืนกว่า ให้กับผู้คนและโลกใบนี้ และนี่ถือเป็นเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องลงมือปฏิบัติให้สัมฤทธิผล

Exit mobile version