Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

PwC ชี้ผู้นำธุรกิจประเมินความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสูงเกินไป

Onlinenewstime.com : PwC เผย รายงานผลสำรวจวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรทั่วโลก (Global Crisis and Resilience Survey) ซึ่งทำการสำรวจสองปีต่อครั้งพบว่า องค์กรและผู้นำธุรกิจประเมินความสามารถในการฟื้นตัวสูงเกินไป แม้ว่าจะดำเนินงานในยุคแห่งการหยุดชะงัก (Disruption) ก็ตาม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,812 รายทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงมุมมองของผู้นำธุรกิจในการเตรียมตัวและรับมือกับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบใหม่ โดยเมื่อถามถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วว่าถูกจัดให้เป็นภารกิจสำคัญลำดับที่เท่าใดขององค์กร เก้าในสิบ (89%) ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นตัว ถือเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งบ่งชี้ว่าองค์กรทั่วโลกต่างกำลังปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต

หลังจากการเริ่มต้นทศวรรษที่วุ่นวาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เก้าในสิบ (91%) ขององค์กรกล่าวว่า ตนประสบปัญหาการหยุดชะงักอย่างน้อยหนึ่งครั้ง นอกเหนือไปจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รายงานพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วองค์กรต่าง ๆ ประสบปัญหาการหยุดชะงักถึงสามครั้งครึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา

และสามในสี่ (76%) กล่าวว่า การหยุดชะงักที่ร้ายแรงที่สุดสร้างผลกระทบในระดับปานกลางถึงระดับสูงต่อการดำเนินธุรกิจ โดยขัดขวางกระบวนการทางธุรกิจและบริการที่สำคัญ และก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินและชื่อเสียงขององค์กร

สำหรับการหยุดชะงักห้าอันดับแรกที่พบในรายงาน ประกอบไปด้วย การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การรักษาและการสรรหาพนักงาน ห่วงโซ่อุปทาน การหยุดชะงักที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีหรือความล้มเหลว และการโจมตีทางไซเบอร์

อย่างไรก็ดี หากไม่นับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ถือได้ว่าส่งผลกระทบมากที่สุดต่อองค์กรทั้งในแง่การเงินและอื่น ๆ และยังได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2562

นอกจากนี้ มากกว่าครึ่ง (60%) ขององค์กรที่ประสบปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชนที่รุนแรงที่สุด ยังมีความกังวลมากที่สุดว่า ตนจะต้องเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในลักษณะเดียวกันนี้อีกครั้ง

นายเดวิด สเทนแบค หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า 

“ผู้นำธุรกิจกำลังเผชิญกับการหยุดชะงักและความไม่แน่นอนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังต่อสู้กับแรงผลักดันภายนอกและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจภายใน และนี่ คือ ความท้าทายที่ทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวกลายเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลกธุรกิจ”

นอกจากนี้ แม้ว่า 70% ของผู้นำธุรกิจจะแสดงความมั่นใจต่อความสามารถในการฟื้นตัวจากการหยุดชะงักต่าง ๆ ข้อมูลจากผลสำรวจพบว่า หลาย ๆ องค์กรทั่วโลกยังขาดองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวให้ประสบความสำเร็จ

ซึ่งช่องว่างความเชื่อมั่นนี้ ส่งผลให้องค์กรทั่วโลกต้องอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการหยุดชะงักนั้น ๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กร ตรงข้ามกับความท้าทายระดับโลกหรือของภาคส่วนอื่น ๆ 

ทั้งนี้ ข้อมูลในรายงานผลสำรวจยังเปิดเผยให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญสามประการที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กร ดังต่อไปนี้ 

สำหรับองค์กรที่มีโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวแบบบูรณาการนั้น ยังมีความก้าวหน้าในองค์ประกอบหลักอื่น ๆ ของ OpRes ซึ่งรวมถึง กระบวนการประเมินความเสี่ยงและภัยคุกคาม การทดสอบ และการทำแผนแสดงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของบริการและกระบวนการ ทำให้บริษัทเหล่านี้มีระบบภูมิคุ้มกันขององค์กรที่เข้มแข็ง ตลอดจนสามารถปรับตัว ยืดหยุ่น และก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง

นางสาว บ๊อบบี้ แรมสเดน-โนลส์ หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า

“ความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อการหยุดชะงัก มีความสำคัญต่อการรักษาความไว้วางใจที่สร้างขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปกป้องคุณค่าและชื่อเสียงของผู้ถือหุ้น ในขณะที่ความคาดหวังต่อความสามารถในการฟื้นตัวของธุรกิจและรัฐบาลอยู่ในระดับสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ฉะนั้น เพื่อสร้างองค์กรที่เชื่อถือได้และมีความคล่องตัว ผู้นำธุรกิจจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวครอบคลุมทุกสายงานและบุคลากร รวมถึงให้ความสำคัญกับแนวทางแบบบูรณาการที่ได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยี เพื่อให้องค์กรเห็นภาพของความเสี่ยงและภูมิทัศน์ด้านการฟื้นตัว”

ด้าน นาย พันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า องค์กรที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ภัยคุกคามทางไซเบอร์ การจัดการความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก (Third party risk management) ตลอดจนการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession planning)

โดยในขณะที่องค์กรชั้นนำหลายแห่ง ได้มีการวางแผนเพื่อรับสถานการณ์ดังกล่าวไว้บ้างแล้ว แต่องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง รวมถึงองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้

“ปัญหาขององค์กรไทยที่มักจะพบเจอ คือ ผู้บริหารยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่ผลประกอบการทางการเงินเป็นหลัก เช่น การสร้างรายได้ หรือลดต้นทุน

จึงอยากแนะนำองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น ซึ่งการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบัน” นาย พันธ์ศักดิ์ กล่าว

“นอกจากนี้ การมีคณะผู้บริหาร หรือคณะทำงานที่มีความเข้าใจในการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการจัดการภาวะวิกฤตและการหยุดชะงักจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยการวางแผน การให้ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั่วทั้งองค์กร

อีกทั้งจะต้องมีการประเมินผลลัพธ์ที่ได้ และรายงานผลดังกล่าวไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปปรับปรุงความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรอย่างต่อเนื่องต่อไป” เขากล่าว

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาดาวน์โหลดรายงานผลสำรวจ PwC Global Crisis and Resilience Survey 2023 ฉบับเต็มได้ทาง www.pwc.com/crisis-resilience

Exit mobile version