Onlinenewstime.com : เครือสหพัฒน์ เปิด 4 โรงงานการผลิต โชว์ Sustainability นโยบาย “คนดี สินค้าดี สังคมดี” โดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคชั้นนำ กว่า 100 แบรนด์
สร้างโปรเจ็กต์พิเศษภายใต้การดูแลของ BSC International (บีเอสซี อินเตอร์เนชั่นแนล) นำโดย บุษบง มิ่งขวัญยืน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ BSC International นำเสนอผลิตภัณฑ์ จาก 4 โรงงานผู้ผลิต ดำเนินงานภายใต้ Sustainability เพื่อเป็นตัวแทนความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ Net Zero ไปพร้อมๆกัน
ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงเวลาหลายปีที่่ผ่านมาส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารธุรกิจ รวมถึงกระบวนการทำงานในทุุกมิติ ให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนได้ เพื่อให้เราสามารถก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
นอกจากการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจัดจำหน่ายให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค (Customer Focus) บริษัทฯ ยังได้บริหารงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุุรกิจควบคู่ไปด้วย (ESG: Environmental, Social, Governance)”
และอีก 1 ผลิตภัณฑ์ในโปรเจ็กต์พิเศษภายใต้การดูแลของ BSC International (บีเอสซี อินเตอร์เนชั่นแนล) นั่นคือ ผลิตภัณฑ์ PURE CARE BSC ดีต่อใจ ดีต่อทุกสภาพผิวแม้ผิวที่บอบบางแพ้ง่าย และดีต่อโลกอย่างยั่งยืน”
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง PURE CARE BSC (เพียว แคร์ บีเอสซี) โดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้เห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของวัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสมุนไพรไทย และเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์ด้านความงามอย่างปลอดภัย ไร้สารเคมี โดยนำ “บัวหลวง” พืชสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์มาพัฒนาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง
ดารนี มาตาแก้ว ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ PURE CARE BSC กล่าวว่า “สารสกัดจากเกสรดอกบัวหลวง สรรพคุณมากมาย ในด้านความงาม ซึ่งพบว่ามีคุณสมบัติ Anti-oxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร และความบกพร่องทางผิวหนังอื่นๆ ผสมผสานกับนวัตกรรมจากโพลิเมอร์ธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาในรูปแบบเจลแคปซูลทรงกลม
พร้อมด้วยคุณสมบัติของ Sericin และ Sodium Hyaluronate ช่วยเสริมเติมเต็มความชุ่มชื้นที่ขาดหายไป ให้ผู้ใช้มีผิวที่แลดูอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวขาวเนียนสดใส”
โดยนำสารสกัดดังกล่าวมารวมไว้ในเครื่องสำอางชุด Age Expert Series เป็นนาโนเทคโนโลยีแบรนด์แรกของโลก และ “ไม่ทำการทดลองกับสัตว์
โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ ประจำปี 2548 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Award 2548) และตั้ง Trademark เป็นของ PURE CARE BSC ในชื่อ “Lotus Spirit (โลตัส สปิริต)”
ในปี 2540 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) ได้เริ่มต้นพัฒนาสารสกัดจากเกสรบัวหลวง และตลาดเครื่องสำอาง โดย บุษบา จินตโสภณ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) กล่าวว่า
“ได้ร่วมมือกับโครงการวิจัย PERCH ของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิชัย ริ้วตระกูล ณ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยมหิดลนานกว่า 6 เดือน จนพบว่าในสารสกัดเกสรดอกบัวหลวง มีกลุ่ม Flavonoid ได้แก่ Kaempferol และ Kaempferol derivative
มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดจากชาเขียวมากถึง 2 เท่า ช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นเทียบเท่าสารสกัดจากมัลเบอรี่ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และปลอดภัยในการใช้ โดยผ่านการทดสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ”
มาลี หาญสุโพธิพันธ์ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายเทคนิค บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) ได้กล่าวถึงโรงงาน ILC ว่า “จากทุกขั้นตอนการผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ ได้คำนึงถึงผลกระทบที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
เพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการทรัพยากรน้ำ ภายใต้โครงการ Water Conservation นำน้ำจากกระบวนการผลิตน้ำ RO (Reverse Osmosis) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ภายใต้หลัก 3Rs Reduce / Recycle Recovery waste water system และ Reuse
การจัดการด้านการลดการใช้ไฟฟ้า โดยติดตั้ง Solar Rooftop ตั้งแต่ปี 2560 การทำ Chiller / Air Condition/Air Compressor เปลี่ยนหลอดไฟฟ้า LED Light ทำให้สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ 12% คิดเป็น 870,588 KWh/y
ซึ่งปัจจุบันเราติดตั้ง 4 อาคาร 640 KW ผลิตไฟฟ้าได้ 900 MJ/Y ซึ่งในอนาคตจะลงทุนติดตั้งเพิ่มให้ครบทุกตึก เป็น 2,700 KW คิดเป็น 50% ของไฟฟ้าที่ใช้ การจัดการพลังงานความร้อน โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGD) แทน LPG สามารถลดการใช้พลังงานได้ 11% คิดเป็น 900 MJ/Y
การจัดการกากอุตสาหกรรม (Industrial Waste) 45% ของกากอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย (Non Hazardous wastes) มุ่งสู่ Zero Landfill และนำไปทำเชื้อเพลิง 30%,
3% ของกากอุตสาหกรรมอันตราย (Hazardous wastes) นำไปผสมเป็นเชื้อเพลิงโดยผู้รับกำจัดที่ได้รับอนุญาต และ 50% ของกากอุตสาหกรรมที่นำไปหมุนเวียนใช้ใหม่ (Recycle Wastes) ส่งไปบริษัทรับ Recycle ที่ได้รับอนุญาต และภายใต้โครงการดังกล่าว ทำให้สามารถชดเชย Carbon Credit ในปี 2565 ลด CO2 ได้ 1,441 Ton CO2”