Onlinenewstime.com : ราคาอาหารที่สูงขึ้นและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมสร้างความตึงเครียดต่อระบบอาหารทั่วโลก อุตสาหกรรมอาหารทะเล ในฐานะผู้ผลิตแหล่งโปรตีนทางเลือกคุณภาพสูง เป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน
นอร์เวย์ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับสองของโลก สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไทย ภูมิภาคเอเชีย และพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
สำหรับงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2023 ในปีนี้ ทางสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ได้เชิญผู้ส่งออกอาหารทะเลจากนอร์เวย์กว่า 20 ราย มาจัดแสดงอาหารทะเลคุณภาพพรีเมียมหลากหลายประเภท รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ล้ำสมัย
แสดงให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตที่ดีและโอกาสด้านการค้าที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการรายย่อยตลอดจนผู้ประกอบการรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นางแอสทริ เอมิเลีย เฮลเลอ เอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ประจำประเทศไทย และนาย คริสเตียน เครเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) มาร่วมเป็นแขกพิเศษ
มีการจัดสัมมนาพิเศษเกี่ยวกับอาหารทะเล และการสาธิตวิธีการทำอาหารโดย เชฟ จิมมี่ ช๊ก เชฟกิตติมศักดิ์ของ Seafood from Norway ที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างสรรค์สูตรอาหารที่ผสมผสานรสชาติแบบเอเชียเข้ากับการปรุงอาหารแบบตะวันตก
ดร. อัสบีเยิร์น วาร์วิค เรอร์ทเว็ท ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “อาหารทะเลจากนอร์เวย์ เช่น แซลมอน ฟยอร์ดเทราต์ และนอร์วีเจียนซาบะ คือผลิตภัณฑ์ที่มาจากการทำฟาร์มและการประมงแบบยั่งยืน จนกลายมาเป็นวัตถุดิบที่คนไทยส่วนใหญ่ชื่นชอบตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ได้เดินหน้าสร้างความตระหนักในด้านนวัตกรรมการประมงและความยั่งยืนในประเทศไทย ตราสัญลักษณ์ Seafood from Norway ที่บ่งบอกถึงแหล่งที่มาของอาหารทะเลจากนอร์เวย์ ยังให้ประโยชน์แก่อุตสาหกรรมอาหารทะเล รวมไปถึงผู้บริโภคและธุรกิจในท้องถิ่นในการมองหาแหล่งโปรตีนทางเลือกคุณภาพสูงอีกด้วย
ในปี 2565 นอร์เวย์ส่งออกอาหารทะเลปริมาณ 42,636 ตัน รวมมูลค่ากว่า 9.37 พันล้านบาท มายังประเทศไทย ผู้บริโภคคนไทยให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าที่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ ทำให้อาหารทะเลจากนอร์เวย์กลายมาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-นอร์เวย์ได้อย่างดี”
ในทุก ๆ ปี อุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ส่งมอบอาหารทะเลเทียบเท่ากับมื้ออาหารจำนวน 40 ล้านมื้อต่อวัน เป็นปริมาณ 2.9 ล้านตัน และมูลค่ารวม 5.1 แสนล้านบาท ให้แก่ 150 ประเทศทั่วโลก
การจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างมีความรับผิดชอบมานานกว่าศตวรรษคือหัวใจหลักของอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ นอร์เวย์ปรับเปลี่ยนจากการจับปลาอย่างเสรีมาสู่กฎระเบียบที่เข้มงวดและมีการกำหนดมาตรฐานการจัดการความยั่งยืนทางทะเลจากการเรียนรู้บทเรียนในอดีต
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเออร์ลิง ริเมอร์สตัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของนอร์เวย์ ได้มาเยือนประเทศไทยเพื่อหารือด้านการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ และกล่าวว่า “เป้าหมายสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศนอร์เวย์คือการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพในราคาที่จับต้องได้สำหรับทุกคน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุดจากกระบวนการนี้
นอร์เวย์เป็นผู้บุกเบิกเรื่องความยั่งยืนมาหลายศตวรรษ ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์น้ำ ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการการประมงไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเริ่มต้นทำการประมงอย่างยั่งยืน ด้วยแนวทางที่ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศ
ทำให้เราสามารถจัดสรรอาหารทะเลคุณภาพที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงได้ และคงความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องทะเลได้ในเวลาเดียวกัน เราเชื่อว่าการดำเนินงานร่วมกับผู้ผลิตรายอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้อาหารทะเลจากนอร์เวย์ช่วยส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารของโลกผ่านการผลิตโปรตีนที่มีคุณภาพและยั่งยืนได้ โดยที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
รายงานล่าสุดจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ เผยว่าในปี 2564 ประชากรจำนวน 2.3 พันล้านคน หรือเกือบร้อยละ 30 ของประชากรโลก ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร ผู้คนกว่า 702 ถึง 828 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากความอดอยาก และคาดว่าในปี 2573 จะมีผู้คนกว่า 670 ล้านคน ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ได้สร้างความตึงเครียดต่ออุตสาหกรรมการผลิตอาหารและช่องทางการค้า ส่งผลให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นและเกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงแหล่งอาหาร แผนความมั่นคงอาหารสู่ปี 2030 ของเอเปค เน้นการสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงแหล่งอาหารที่เพียงพอและมีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านอาหารของผู้คนทั่วโลก