Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

สภาพัฒน์ เผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566

Onlinenewstime.com : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี 2566และแนวโน้มปี 2566โดยมีรายละเอียดดังนี้

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2566

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ1.8 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.6ในไตรมาสแรกของปี 2566 (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2566ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2566 ร้อยละ 0.2 (%QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี 2566เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.2

ด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกบริการชะลอตัว ขณะที่การส่งออกสินค้า การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายภาครัฐบาลปรับตัวลดลงการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 7.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวดีขึ้นของเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงานและฐานรายได้นอกภาคเกษตร การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และดัชนีความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส

โดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 13.8 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 12.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการใช้จ่ายในกลุ่มบริการทางการเงินและกลุ่มสุขภาพที่ขยายตัวร้อยละ 11.5 และร้อยละ 5.6 ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มโรงแรมและภัตตาคารยังขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องร้อยละ 49.1

การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 4.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 4.0 เทียบกับร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อนหน้าขณะที่กลุ่มไฟฟ้า และก๊าซฯ กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสร้อยละ 11.8

และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะที่ขยายตัวร้อยละ 10.8เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนการใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 0.7ชะลอลงจากร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการลดลงอย่างต่อเนื่องของการใช้จ่ายหมวดเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 50.3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 46.9 ในไตรมาสก่อนหน้า สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ลดลงร้อยละ4.3 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดลดลงร้อยละ 25.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 40.6 ในไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนค่าซื้อสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 2.6 ขณะที่ค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ขยายตัวร้อยละ 0.3สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ24.7 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 23.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 22.5 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

รวมครึ่งแรกของปี 2566 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.8 และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 5.3 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 0.4 ชะลอลงจากร้อยละ 3.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของ การลงทุนภาคเอกชน ร้อยละ 1.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.6ในไตรมาสก่อนหน้าโดยการลงทุนเครื่องจักรเครื่องมือขยายตัวร้อยละ 0.8ชะลอลงจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 2.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนการลงทุนภาครัฐ ลดลงร้อยละ 1.1เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.7ในไตรมาสก่อนหน้าตามการลดลงของการลงทุนรัฐวิสาหกิจร้อยละ 3.7 ขณะที่การลงทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 17.8 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 16.7 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่ต่ำกว่าร้อยละ 19.2 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

รวมครึ่งแรกของปี2566 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 1.8 โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.8 และการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ1.9

ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 70,262ล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงร้อยละ 5.6 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ4.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 5.8 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0ในไตรมาสก่อนหน้า

กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลงเช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 1.5) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 3.3) อาหารสัตว์ (ลดลงร้อยละ 24.6) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 40.2) ผลิตภัณฑ์โลหะ (ลดลงร้อยละ 19.0) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 29.6) และเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 19.9) เป็นต้น

กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเช่น ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 44.8) ทุเรียน (ร้อยละ 19.6)น้ำตาล (ร้อยละ 34.9) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ17.7) ข้าว (ร้อยละ 17.5) และรถยนต์นั่ง (ร้อยละ 10.0) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาดส่งออกหลักลดลง ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ และซาอุดีอาระเบียขยายตัว เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ5.7 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 5.4

ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า68,110ล้านดอลลาร์ สรอ.ลดลงร้อยละ 5.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.0ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก โดยปริมาณและราคานำเข้าลดลงร้อยละ 4.0 และร้อยละ 1.1 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล2.2พันล้านดอลลาร์ สรอ. (75.1พันล้านบาท)

รวมครึ่งแรกของปี 2566การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 140,068 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 5.1 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 134,970 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 1.7 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 5.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (179.4 พันล้านบาท)

การขยายตัวของเศรษฐกิจและมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ

ที่มา: CEIC รวบรวมโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ด้านการผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีกการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ขยายตัวเร่งขึ้นสาขาการไฟฟ้าก๊าซไอน้ำและระบบปรับอากาศกลับมาขยายตัวส่วนสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารสาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าสาขาก่อสร้างและสาขาเกษตรกรรมชะลอตัวลงในขณะที่การผลิตสาขาอุตสาหกรรมลดลง

สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 0.5ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 6.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญโดยเฉพาะอ้อยและกลุ่มไม้ผลในขณะที่ผลผลิตหมวดปศุสัตว์และหมวดประมงขยายตัว

โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเช่น ข้าวเปลือก (ร้อยละ 17.5) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ร้อยละ 25.1) สุกร (ร้อยละ 7.4) กุ้งขาวแวนนาไม (ร้อยละ 14.4) และไก่เนื้อ (ร้อยละ 1.0) ตามลำดับ

ส่วนดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลงเช่น อ้อย (ลดลงร้อยละ 66.2) กลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 10.5) ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 5.3) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 4.1) และยางพารา (ลดลงร้อยละ 0.4) ตามลำดับ

ดัชนีราคาสินค้าเกษตร ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 5.4 ตามการลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆเช่น ยางพารา (ลดลงร้อยละ 28.3)ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 44.7)สุกร (ลดลงร้อยละ 14.6)และกุ้งขาวแวนนาไม (ลดลงร้อยละ 15.2) เป็นต้น

อย่างไรก็ตามราคาสินค้าเกษตรสำคัญๆหลายรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่น ข้าวเปลือก (ร้อยละ 12.3) กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 8.8) มันสำปะหลัง (ร้อยละ 20.7) ไก่เนื้อ (ร้อยละ 6.1) และอ้อย (ร้อยละ 8.3) ตามลำดับการลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงครั้งแรกในรอบ 6ไตรมาส ร้อยละ 4.9รวมครึ่งแรกของปี 2566การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงขยายตัวร้อยละ 3.4

สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3ร้อยละ 3.3ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 3.0 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการลดลงของทุกกลุ่มการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมร้อยละ5.6

โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ60)ลดลงร้อยละ12.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ13.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ(สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ30) ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่3 ร้อยละ4.1 จากการลดลงร้อยละ1.8 ในไตรมาสก่อนหน้า

และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ30 -60 ลดลงครั้งแรกในรอบ4 ไตรมาสร้อยละ1.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ2.3 ในไตรมาสก่อนหน้าอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 57.64 ต่ำกว่าร้อยละ 63.81 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 61.20 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลงเช่นการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง(ลดลงร้อยละ29.4) การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน(ลดลงร้อยละ21.1) และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย(ยกเว้นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า) (ลดลงร้อยละ29.8) เป็นต้น

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆที่เพิ่มขึ้นเช่น การผลิตยานยนต์(ร้อยละ6.2) การผลิตน้ำตาล(ร้อยละ19.0) และการผลิตจักรยานยนต์(ร้อยละ17.3) เป็นต้น รวมครึ่งแรกของปี 2566สาขาการผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงร้อยละ3.2 และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ60.72

สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 15.0แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 34.3ในไตรมาสก่อนหน้า

โดยในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 6.437 ล้านคน ส่งผลให้มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.4แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 8 ร้อยละ 150.4

ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) จำนวน60.22 ล้านคน-ครั้งขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 24.7 สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นจำนวน 1.88แสนล้านเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6ร้อยละ 22.6ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 4.28แสนล้านบาท

เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.7 สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 66.93 ต่ำกว่าร้อยละ 70.24 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 42.80 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมครึ่งแรกของปี 2566 การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 23.9 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจำนวน12.915 ล้านคน และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ68.58

สาขาการขายส่งและการขายปลีกการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่9ร้อยละ3.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ3.3 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการบริโภคภายในประเทศที่ยังขยายตัวในเกณฑ์สูง และการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของภาคบริการด้านการท่องเที่ยว

รวมครึ่งแรกของปี2566 การผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีกการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ3.4

สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่7ร้อยละ 7.5แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ12.1 ในไตรมาสก่อนหน้ารวมครึ่งแรกของปี 2566การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวร้อยละ 10.0

สาขาการไฟฟ้าก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ ขยายตัวร้อยละ 5.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าและกิจกรรมโรงแยกก๊าซ รวมครึ่งแรกของปี 2566การผลิตสาขาไฟฟ้า ก๊าซ และระบบปรับอากาศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.06ใกล้เคียงกับร้อยละ 1.05 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่ต่ำกว่าร้อยละ 1.37 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.1และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 เทียบกับร้อยละ 3.9และร้อยละ 2.2ในไตรมาสก่อนตามลำดับ

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล1.9พันล้านดอลลาร์ สรอ. (6.4หมื่นล้านบาท)ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณสิ้นเดือนมิถุนายน2566อยู่ที่ 2.2แสนล้านดอลลาร์ สรอ.และหนี้สาธารณะณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,923,183.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.1ของ GDP

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2566

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 -3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ

โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนรวมจะขยายตัว ร้อยละ 5.0 และร้อยละ 1.6 ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.7 -2.2 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.2 ของ GDP

รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี2566ในด้านต่างๆ มีดังนี้

1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 6.3 ในปี 2565 และเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในการประมาณการครั้งก่อน

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงานและฐานรายได้โดยเฉพาะนอกภาคเกษตรในสาขาที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในเกณฑ์สูง

และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะลดลงร้อยละ 3.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.2 ในปี 2565 และเป็นการปรับลดลงจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

2. การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.3 ในปี 2565 แต่เป็นการปรับลดลงจากร้อยละ 2.1 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 ชะลอลงจากร้อยละ 5.1 ในปี 2565 และปรับลดลงจากร้อยละ 1.9 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกและการนำเข้าสินค้าตามแนวโน้มการชะลอตัวของปริมาณการค้าโลก และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

(2) การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ2.0 กลับมาขยายตัวจากการลดลงร้อยละ 4.9 ในปี 2565 แต่เป็นการปรับลดลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ตามการปรับลดประมาณการอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี และการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ

3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 5.4 ในปี 2565 และการลดลงร้อยละ 1.6 ในการประมาณการครั้งก่อน โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกในปี 2566 จะลดลงร้อยละ 1.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.1 ในการประมาณการครั้งก่อน

ในขณะที่คาดว่าราคาส่งออกจะอยู่ที่ร้อยละ (-0.5) -0.5 ปรับจากร้อยละ (-1.0) -0.0 ในการประมาณการครั้งก่อน เมื่อรวมกับการปรับลดสมมติฐานรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 5.0 เทียบกับร้อยละ 6.9 ในการประมาณการครั้งก่อน และชะลอลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 2565

ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศรวมทั้งการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการติดตามป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก

(2) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดย (i) การเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจในช่วงที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567ยังมีความล่าช้า (ii) การเร่งรัดกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 (iii) เตรียมความพร้อมของโครงการให้สามารถเบิกจ่ายได้โดยเร็ว และ (iv) การกำหนดเป้าหมายและติดตามผลการเบิกจ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย

(3) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดย (i) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างการรับรู้ต่อมาตรการLong – term Resident VISA (LTR) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพโดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว (ii) การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่มีศักยภาพ และ (iii) การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง

(4) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกรโดย (i) การป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อการผลิต (ii) การเพิ่มส่วนแบ่งให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตขั้นสุดท้ายมากขึ้น (iii) การดำเนินมาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศ และ (iv) การบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูง

(5) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้าเพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดย (i) การอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก (ii) การเร่งรัดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดี และสร้างตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง(iii) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า

(iv) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ (v) การป้องกันและแก้ไขปัญหากีดกันทางการค้าโดยเฉพาะมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศคู่ค้าสำคัญ

(vi) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ (vii) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก

และ (6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 -2565 ให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อ

การลงทุนและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนากำลังแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกเพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค และ (v) การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

21 สิงหาคม2566


ตารางที่ 1 GDP ด้านการผลิต

ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ตารางที่ 2 ด้านการใช้จ่าย

ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ตารางที่ 3 ประมาณการเศรษฐกิจปี2566/1

ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติณ วันที่ 21 สิงหาคม 2566

หมายเหตุ:

1/เป็นข้อมูลที่คำนวณบนฐานบัญชีประชาชาติอนุกรมใหม่ ซึ่ง สศช. เผยแพร่ทาง www.nesdc.go.th

2/การลงทุนรวม หมายถึง การสะสมทุนถาวรเบื้องต้น

3/ตัวเลขการส่งออกและการนำเข้าตามฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย

Exit mobile version