fbpx
News update

“ไทยร่วมมือสปป.ลาว” ยกระดับถนนหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า เพื่อสนับสนุน “การค้า-การลงทุน-การท่องเที่ยว”

เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทย สปป.ลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) และสาธารณรัฐประชาชนจีน(เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสี) ผ่านโครงข่ายระบบคมนาคมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเป็นประตูการค้าจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ไปสู่เวียดนามและจีน

ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าวเมื่อเปรียบเทียบกับถนนหมายเลข 8 (R8) และถนนหมายเลข 9 (R9) พบว่ามีระยะทางสั้นที่สุด สามารถเชื่อมโยงกับเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจต่าง ๆ อันเป็นโอกาสให้สามารถพัฒนาต่อเนื่องเข้ามาอยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East–West Economic Corridor : EWEC) ร่วมกับถนน R9 ของไทย

ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของไทยในการให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาค และเพิ่มโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน

นอกจากนี้ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าถนน R12 มีบทบาทที่สำคัญในอนาคตต่อโครงข่ายคมนาคมและการขนส่งในอนุภูมิภาคซึ่งปัจจุบันถนน R12 ได้บรรจุเป็นหนึ่งในแนวเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศในพิธีสาร 1 ของความตกลง
การขนส่งข้ามพรมแดน (Greater Mekong Sub-region Cross–Border Transport Agreement: CBTA) แล้ว

การดำเนินความร่วมมือภายใต้โครงการ R12 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยโครงการจะสนับสนุนประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม และจีนให้สามารถเชื่อมโยงคมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ

อีกทั้งยังสามารถประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าและพิธีการทางศุลกากรระหว่างประเทศได้และ โครงการ R12 ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพการค้าของประเทศไทยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)

โดยสามารถสนับสนุนในมิติการพัฒนาภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้า การลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคและยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สปป.ลาว ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2564–2568 ทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสนับสนุนนโยบายการต่างประเทศด้านการค้าเสรีในรูปแบบการรวมกลุ่ม
ทางภูมิภาคด้วย

โครงการ R12 คาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาวผ่านด่านศุลกากรนครพนมได้มากขึ้น ทั้งนี้ สถิติมูลค่าการค้าชายแดนไทย-สปป.ลาว ระหว่างปีงบประมาณพ.ศ. 2562-2566 ผ่านด่านศุลกากรนครพนมสามารถแสดงได้ดังนี้

 หน่วย: ล้านบาท

รายการ25622563256425652566
มูลค่ารวม89,774.17 74,311.00118,388.0083,816.71122,382.79
มูลค่านำเข้า22,919.8012,716.1419,241.2328,105.8233,098.59
มูลค่าส่งออก66,854.3761,594.8699,146.7755,710.8989,284.20
ดุลการค้า43,934.5748,878.7279,905.5427,605.0756,185.61

ที่มา: สรุปภาวะการค้าชายแดนจังหวัดนครพนมประจำเดือนกันยายน 2566, สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม

การยกระดับถนน R12 ส่งเสริมความร่วมมือของผู้ประกอบการระหว่างไทยกับ สปป.ลาวโดยชาวไทย สปป.ลาว เวียดนาม และจีนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่โครงการและพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับประโยชน์ทางตรงจากการปรับปรุงถนน R12 โดยสามารถขนส่งสินค้าและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆในการดำรงชีวิตได้รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากการมีโอกาสในการประกอบอาชีพจากการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่จะได้รับส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โครงการ R12 จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตลอดอายุของโครงการในแง่ของการประหยัดเวลาในการขนส่งและพิธีการทางศุลกากร เนื่องจากโครงการ R12 ได้บรรจุเป็นเส้นทางหนึ่งใน GMS CBTA จะสามารถลดเวลาการขนส่งจากเดิม 10 ชั่วโมง เหลือ 4 ชั่วโมง

นอกจากนี้ การพัฒนาจุดผ่านแดนนาเพ้าซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกัน (Common Control Area: CCA) จะสามารถรองรับการปฏิบัติงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ไทย และ สปป.ลาว ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจปล่อยสินค้า (Customs, Immigrations & Quarantines: CIQ) ให้กับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าได้ในอนาคต

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว สพพ. จะสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อไปใช้เป็นค่าก่อสร้างในวงเงิน 1,833.747 ล้านบาท โดยกำหนดให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายใต้โครงการจากไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าโครงการ รวมทั้งใช้ผู้ประกอบการงานก่อสร้างและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างจากไทยเป็นหลักในการดำเนินโครงการ โครงการมีระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในปี พ.ศ. 2567 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2570