Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

“UNDP-ม.อ็อกซ์ฟอร์ด” เผย 1.1 พันล้านคนทั่วโลกยากจนหลายมิติ “ไทย” ลดอัตราความยากจนได้ครึ่งหนึ่งใน 7 ปี

Global MPI Report 2024

ศาสตราจารย์ซาบีนา อัลไคร์ ผู้อำนวยการ OPHI และยานซุน จาง หัวหน้านักสถิติจาก UNDP ได้ชี้ให้เห็นว่า 1.1 พันล้านคนเผชิญกับความยากจนหลายมิติ คือเข้าไม่ถึงการศึกษา บริการสุขภาพ ไม่มีบ้าน ไฟฟ้า

แต่พิจารณาไปไกลยิ่งกว่ามิติด้านรายได้ กล่าวคือ ต้องพิจารณาว่าผู้คนมีประสบการณ์กับความยากจนอย่างไรด้วย โดยแบ่งออกเป็น 10 มิติ อาทิ การเข้าถึงการศึกษา สุขภาพ ที่อยู่อาศัย น้ำดื่ม สุขอนามัย และไฟฟ้า ทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างตรงจุด และออกแบบนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศที่เผชิญกับความขัดแย้งเช่น อัฟกานิสถาน และซูดาน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความยากจนกับความขัดแย้ง โดย รายงานได้ศึกษาความยากจนหลายมิติจาก 112 ประเทศที่ครอบคลุม 6.3 พันล้านคน โดยพิจารณาความยากจนไปไกลกว่ามิติของรายได้

ขณะที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความยากจนหลายมิติฉบับประเทศไทยที่ถูกพัฒนาโดยสภาพัฒน์ฯ ที่ชี้ว่า แม้ประเทศไทยจะสามารถลดความยากจนหลายมิติได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคน 6.14 ล้านคนที่ยังเผชิญกับความยากจนหลายมิติในปี 2023

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการออกแบบนโยบายเพื่อขจัดความยากจนที่ไปไกลกว่ามิติของรายได้ ที่ครอบคลุมการเข้าถึงการศึกษา เงื่อนไขการใช้ชีวิต ความมั่นคงทางการเงิน และความเป็นอยู่ที่ดี

โดยใน 5 จังหวัดที่เผชิญกับความยากจนหลายมิติสูงที่สุด คือ นราธิวาส สุรินทร์ แม่ฮ่องสอน อุทัยธานี และปัตตานี โดย 4 จังหวัดเป็นจังหวัดแนวชายแดน

ขณะที่วงเสวนาที่มีตัวแทนจากภาควิชาการ ธนาคารโลก และสิ่งแวดล้อม ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ ๆ เช่น ความขัดแย้งที่เกิดจากภาวะโลกรวนและการบุกรุกพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติที่นำไปสู่ความยากจนในอีกมิติได้เช่นกัน รวมถึงความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งผลถึงไทย ที่ไทยเองต้องเล็งเห็นความท้าทายใหม่ ๆ เหล่านี้ เพื่อขจัดความยากจนในทุกมิติ

โดย UNDP เองสนับสนุนประเทศไทยให้ขจัดความยากจนผ่านการออกแบบนโยบายที่คำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง และตอบสนองต่อปัญหาในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกันผ่านข้อมูลเชิงลึกระดับท้องถิ่น เพื่อให้ไทยเองแก้ปัญหาได้ตอบโจทย์และตรงจุด

งานวิจัยใหม่โดย UNDP และ OPHI ตอกย้ำความจำเป็นของการลงทุนในสันติภาพ เพื่อบรรเทาความยากจน

รายงานดัชนีความยากจนหลายมิติทั่วโลกประจำปี 2567 ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ตีพิมพ์ร่วมกับโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแก้ไขความยากจนแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford Poverty and Human Development Initiative: OPHI) แสดงข้อมูลวิจัยทางสถิติดั้งเดิมว่าด้วยความยากจนหลายมิติใน 112 ประเทศและในบรรดาผู้คน 6.3 พันล้านคน ดัชนี MPI ไม่ได้เพียงจำแนกประเทศต่าง ๆ ออกเป็น “ร่ำรวย” หรือ “ยากจน” เท่านั้น

แต่พิจารณาไปไกลยิ่งกว่ามิติด้านรายได้ กล่าวคือ ต้องพิจารณาว่าผู้คนมีประสบการณ์กับความยากจนอย่างไรด้วย โดยแบ่งออกเป็น 10 มิติ อาทิ การเข้าถึงการศึกษา สุขภาพ ที่อยู่อาศัย น้ำดื่ม สุขอนามัย และไฟฟ้า ทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างตรงจุด และออกแบบนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดเด่นประการหนึ่งของรายงานปีนี้คือ ความเหลื่อมล้ำจากทั้งภายในและนอกประเทศ จากการวิเคราะห์ค้นพบว่า ร้อยละ 28.0 ของประชากรในชนบททั่วโลกมีฐานะยากจน หากเปรียบเทียบกับร้อยละ 6.6 ของประชากรเขตเมือง ผู้เขียนได้เน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าหลักฐานใหม่นี้ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการลงทุนเพื่อสันติภาพ

อีกทั้งยังเน้นย้ำด้วยว่า ประชาชนจำนวน 1.1 พันล้านคนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะยากจนรุนแรง และจำนวนร้อยละ 40 อาศัยอยู่ในประเทศที่มีสงคราม ความเปราะบาง หรือขาดสันติภาพ

รายงานฉบับนี้ตอกย้ำว่า เพียงแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นไม่เพียงพอ หากปราศจากสันติภาพและประเทศจะไม่สามารถลรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  (SDGs) ในประการเบื้องต้น เช่น ข้อแรกสุดในบรรดา 17 ข้อ นั่นคือ ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่

รายงานนี้เรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั่วโลก เพื่อยุติสงครามและความขัดแย้ง ซึ่งทำลายชีวิต โครงสร้างพื้นฐานและทำให้โลกถดถอยซึ่งทำให้ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอย่างไม่จำเป็น รวมถึงการดำเนินการทุกขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อปกป้องสันติภาพในพื้นที่ที่เปราะบางที่สุด ผู้เขียนได้เน้นย้ำว่าจะต้องใช้แนวทางบูรณาการในการแก้ไขปัญหาความยากจน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อการฟื้นฟูและการสร้างสันติภาพ โดยที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในและนอกประเทศจะต้องร่วมมือกัน

“ช่วงหลายปีให้หลัง ความขัดแย้งทวีความรุนแรงและเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งทุบสถิติตัวเลขผู้เสียชีวิต ทำให้ผู้คนหลายล้านคนต้องพลัดถิ่น ก่อให้เกิดความลำบากขัดสนในชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนเป็นวงกว้าง” อาคิม สไตเนอร์ (Achim Steiner) ผู้อำนวยการใหญ่ประจำโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติกล่าว “เราต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ เราจำเป็นต้องมีแหล่งข้อมูลและการเข้าถึงเพื่อการพัฒนาอย่างเฉพาะเจาะจง และดำเนินการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยทำลายวงจรของความยากจนและวิกฤต”

รายงาน MPI ทั่วโลกเปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ก้าวหน้ามาอย่างน่าจับตาในเรื่องการจัดการปัญหาความยากจนหลายมิติ ประเทศไทยลดจำนวนประชากรที่เผชิญกับความยากจนหลายมิติได้ครึ่งหนึ่งในเวลาเพียงเจ็ดปี ตัวเลขลดลงจาก 909,000 คนในปี พ.ศ. 2555 เหลือเพียง 416,000 คนในปี พ.ศ. 2562 และในปี พ.ศ. 2565 ก็ลดลงอีกเหลือเพียง 352,000 คนที่มีชีวิตอยู่ในภาวะยากจนหลายมิติ ความสำเร็จนี้เป็นเพราะประชากรได้รับการศึกษาสูงขึ้น กินอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้น และเข้าถึงที่อยู่อาศัย ก๊าซหุงต้ม และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้มากขึ้น

ตัวเลข MPI ของประเทศไทยอยู่ที่ 0.002 ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาประเทศอาเซียนที่รวมอยู่ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ เวียดนาม (0.008) อินโดนีเซีย (0.014) ฟิลิปปินส์ (0.016) กัมพูชา (0.070) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (0.108) และเมียนมาร์ (MPI 0.176 ตามข้อมูลการสำรวจล่าสุดที่มี คือจากปี พ.ศ. 2558) ที่ประเทศไทยมีตัวเลขต่ำกว่า หมายความว่าประเทศไทยแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนที่ได้รับการสำรวจ

ถึงแม้ว่าในภาพรวม ประเทศไทยจะก้าวหน้ามาอย่างมากในแง่การบรรเทาความยากจน ทว่าความยากจนหลายมิติในไทยนั้นมีสูงกว่าความยากจนในด้านการเงิน (monetary poverty) 0.5 จุด ซึ่งหมายความว่า ผู้คนที่อยู่เหนือเส้นความยากจนทางการเงินยังคงประสบความขาดแคลนในด้านสุขภาพ การศึกษา และ/หรือมาตรฐานการใช้ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ความยากจนหลายมิติยังคงแพร่หลายในพื้นที่ชนบทระดับภูมิภาค

ข้อค้นพบจากรายงานระดับโลกฉบับนี้สอดคล้องกับการประเมินระดับประเทศของประเทศไทย กล่าวคือ รายงานความยากจนหลายมิติของประเทศไทย ประจำปี 2564 จัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเน้นย้ำว่าในพื้นที่ชนบทมีอุบัติการณ์และความเข้มข้นของความยากจนหลายมิติสูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งกำลังเผชิญความขัดแย้ง

ดังนั้น การยุติความยากจนทุกรูปแบบจึงจำเป็นต้องอาศัยแนวทางทั้งแบบบนลงล่างและล่างขึ้นบน เพื่อแก้ไขปัญหาความแตกต่างในด้านความเข้มข้นและองค์ประกอบของความยากจน ตลอดจนเพื่อป้องกันความขัดแย้งอีกด้วย  สาระสำคัญนี้สอดคล้องกับรายงานความยากจนหลายมิติฉบับใหม่ของประเทศไทย กล่าวคือ ดำเนินกระบวนการสร้างสันติภาพและใช้วิธีการที่เน้นผู้คนเป็นจุดศูนย์กลาง (people-centered) ให้เป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป

นี่คือกุญแจสำคัญที่จะเร่งรัดการขจัดความยากจน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้ในที่สุด ตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค จนถึงระดับท้องถิ่น  ด้วยการจัดการกับต้นตอของปัญหาและผลกระทบของความขัดแย้งโดยอาศัยข้อมูลและความมุ่งมั่นตั้งใจนี้เอง ผู้คนยากจนก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและเพื่อชุมชน

อ่านรายงานฉบับเต็ม ซึ่งครอบคลุมถึงแนวโน้มตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาและมุมมองเชิงลึกในแต่ละประเทศ ได้ที่นี่

Exit mobile version