fbpx
News update

วสท. ลงพื้นที่ตรวจโครงสร้างอาคารในพื้นที่ท่อส่งก๊าซระเบิด

Onlinenewstime.com : วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) นำโดย ดร.ธเนศ วีระศิริ นายก วสท.และ รศ. สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายก นำทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ ตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารบ้านเรือนด้วยอุปกรณ์ทางวิศวกรรม ในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากท่อส่งก๊าซ ปตท.ระเบิด ต.เปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 66 คน บ้านเรือนเสียหายราว 34 ครัวเรือน

เผยอาคารโรงเรียนเปร็งยังไม่ปลอดภัย ไม่ควรเข้าใกล้ เนื่องจากพบรอยร้าวหลายจุด ปลั๊กไฟละลาย ขณะที่โรงเรียนประกาศปิดเรียนยาวเปิด 1 ธ.ค.นี้ เพื่อความปลอดภัย

ดร.ธเนศ วีระศิริ นายก วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบ อาคารเรียนของโรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี พบว่า อาคาร 2 ชั้น รอยร้าวเดิมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ความร้อนทำให้ปลั๊ก สายไฟฟ้าในอาคารละลาย ควรจะต้องตรวจเช็คระบบไฟฟ้า ว่ามีโอกาสจะลัดวงจรหรือไม่ ระบบไฟฟ้าภายใน ซึ่งอาจได้รับความเสียหายต่อเนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกที่เป็นพลาสติกหลอมละลาย จึงขอให้กั้นอาคารเป็นพื้นที่อันตรายไว้ ส่วนเก้าอี้ โต๊ะต่างๆ ในโรงเรียน ก็ต้องระวังในการใช้งานเพราะดูภายนอกอาจจะไม่เห็น

สำหรับอาคารอีกหลังที่เป็นอาคาร 3 ชั้น ไม่ค่อยมีผลกระทบมากนัก แต่ก็พบว่ามีรอยร้าวของคาน ร.ร. และมีสนิมที่เสาบางต้นที่บ้านพักครู โซนเหล่านี้ไม่ควรเข้าใกล้ ทั้งนี้จะตรวจทางด้านวิศวกรรมเพิ่มเติมอีกครั้ง ในจุดที่พบรอยร้าวเพิ่ม ระหว่าง วสท.และเจ้าหน้าที่ บริษัท ปตท.

โดย วสท.ให้คำแนะนำว่า โรงเรียนควรงดการเรียนการสอนต่ออีกระยะ เพื่อเช็คระบบและโครงสร้างอย่างละเอียด จนกว่าจะมั่นใจในความปลอดภัย ล่าสุด โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี ได้กำหนดปิดเรียนชั่วคราว เพื่อให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบด้านต่างๆ ต่อไป และจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 1 ธันวาคม 2563

ด้าน รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายก วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า เพลิงลุกไหม้พร้อมกับมีแรงดัน และกระแสคลื่นความร้อน จากจุดเริ่มต้นลามไปตามทิศทางของการระเหยของแก๊ส เท่าที่ทราบความร้อนจากแก๊สมีเทนจะสูงมาก อาจถึงหรือมากกว่า 1,000 องศาเซลเซียส และจะกระจาย มีผลกระทบกับวัสดุสิ่งของที่อยู่ในทิศทางที่กระแสคลื่นแผ่ไป และค่อย ๆ เบาลงไปตามระยะทางที่ยาวออกไป

ซึ่งแตกต่างจากความร้อนที่เกิดจากวัสดุเชื้อ เช่น กระดาษ เสื้อผ้า หรือไฟไหม้ ที่เราเห็นในอาคารบ่อย ๆ ไม่มีความดัน อุณหภูมิอย่างมากก็ 4 – 500 องศาเซลเซียส ดังนั้นผลที่เกิดจากสิ่งของ ที่อยู่ในทิศทางกระแสความร้อนจากแก๊สระเบิด เปรียบเสมือนถูกอบอยู่ในตู้อบหรือเตาอบ อาคารและสิ่งของดังกล่าว จะถูกความร้อนอบจนกรอบ

ดูภายนอกเหมือนปกติแต่เนื้อในนั้นแห้งแตกระแหง วัสดุที่ยืดหยุ่นเช่น ยาง สายไฟ ปลั๊ก พีวีซี จะยืดเหลว บิดเปลี่ยนรูปเสียหายก่อน และวัสดุที่แข็งและเปราะ เช่น ไม้แผ่น ดูภายนอกไม่รู้สึกเสียหาย แต่หากทุบหรือบิ มันจะกรอบ และหักเสียหายเหมือนข้าวเกรียบ ส่วนที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก และ Bonding Agent จะเสียคุณสมบัติ วัสดุจะกลับคืนสู่สภาพเดิม

ซึ่งจะพบว่าเนื้อคอนกรีตเริ่มเป็นขุย เนื้อคอนกรีตจะขาดความต่อเนื่อง และไม่สามารถรับกำลังได้เท่าเดิม ชิ้นส่วนโครงสร้างที่บาง ๆ เกิดการบิด และหากเดิมมีรอยร้าวอยู่แล้วจะเพิ่มมากขึ้น หากความร้อนทะลุผ่านไปถึงเหล็กเสริมภายใน แน่นอนว่าจะเกิดการเสื่อมสภาพ และอาจลามไปถึงกำลังของโครงสร้าง

ในพื้นที่เกิดเหตุ อาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่ม 1 ได้รับผลกระทบรุนแรง มีบ้านอยู่ 3 – 4 หลัง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 40 – 70 เมตร ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งอาคาร สิ่งของ รถยนต์ รวมไปถึงชีวิตผู้คนในบ้าน และสถานีตำรวจที่อุปกรณ์ภายนอกและภายในเสียหายหมด รวมทั้งมีรอยร้าวบนผนังบ้าง ส่วนโครงสร้างต้องตรวจสอบเชิงลึก จึงจะประเมินความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์

กลุ่ม 2 คืออาคารโรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี ที่อยู่หลังสถานีตำรวจ และห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร ซึ่งอยู่ในแนวกระแสคลื่นความร้อนอ่อนลง ดูสภาพอาคารเกือบเป็นปกติ แต่วัสดุอ่อนเช่น สายไฟ ท่อน้ำภายนอก เสียหาย ควรเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ยกเว้นอาคาร 2 ชั้นด้านหลั งและบ้านพักที่เป็นโครงสร้างไม้นั้น มีความชำรุดทรุดโทรมจากสภาพเก่าอยู่ก่อนแล้ว ได้รับคลื่นความร้อนซ้ำทำให้ไม่น่าปลอดภัยต่อการใช้สอยอีกต่อไป

และกลุ่ม 3 ได้รับผลกระทบน้อ ยคือโรงเรียนเปร็งราษฎร์บำรุง ซึ่งอยู่ภายในวัดเปร็ง สังเกตุได้จากวัสดุอ่อนเช่น รองเท้าหนังนักเรียนที่วางอยู่บนชั้นวางไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ