Onlinenewstime.com : ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากมาตรการป้องกันและควบคุม การแพร่ระบาดของไวรัส (Covid-19) ขั้นเด็ดขาดของทางการจีนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น และในอีกหลายเมืองที่มีความเสี่ยง หรือการสั่งระงับทัวร์จีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ฯลฯ ทำให้ส่งผลกระทบทางตรง ต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย
อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ที่พักแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจต้นน้ำ อาทิ ธุรกิจเกษตร ปศุสัตว์ ที่เป็นวัตถุดิบ หรือสินค้าให้กับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรม ที่พักต่างๆ
ซี่งภาครัฐ ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังเป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าว ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจำนวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำหรับประมวลผลแ ละคาดการณ์การลดลงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน
เพื่อนำไปพยากรณ์ผลกระทบที่จะมีต่อ GDP ของประเทศในด้านการผลิตหากรายได้จากการท่องเที่ยวมีการปรับตัวลดลง โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 กรณี คือ
1) กรณีที่ทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่านักท่องเที่ยวจีน ที่จะเดินทางมายังประเทศไทยจะหายไปประมาณ 1.6 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทย ลดลงไปกว่า 80,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -0.4
2) กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสต่อเนื่องยาวไปจนถึง 6 เดือน คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนที่หายไป เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทย ลดลงไปกว่า 170,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -1.0
Case I (ควบคุมการแพร่ระบาดได้ ภายใน 3 เดือน) | Case II (สถานการณ์การแพร่ระบาด ยาวไปจนถึง 6 เดือน) | |
จำนวนนักท่องเที่ยวจีน (ล้านคน) | ลดลง 1.6 ล้านคน | ลดลง 3.5 ล้านคน |
รายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป | -80,000 ล้านบาท | -170,000 ล้านบาท |
ผลกระทบต่อ GDP* ไทย ในปี 2563 | -0.4% | -1.0% |
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจฯ, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณการโดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน
หมายเหตุ : * พยากรณ์ผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ จากการลดลงของ GDP ในภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยศึกษาทั้งห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาเพิ่มเติม ถึงผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มี ต่อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว
โดยจากข้อมูลสถิติการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนจากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมใช้จ่าย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) การช้อปปิ้ง (ค้าปลีก) 2) ที่พักแรม 3) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 4) การเดินทาง และ 5) การบันเทิง/สันทนาการต่างๆ
ดังนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้จ่ายดังกล่าว โดยเฉพาะในจังหวัดที่คนจีนนิยมท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย
ที่มา : การสำรวจข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงลึก, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560
หมายเหตุ : นักท่องเที่ยว 1 คน นิยมท่องเที่ยวหลายจังหวัด
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบ จากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจฯ, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณการโดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน
ธุรกิจค้าปลีก
คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ 1) กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 2) ธุรกิจขายเครื่องสำอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3) กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่น/ของที่ระลึก
ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการ ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้ อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต
ธุรกิจที่พักแรม/โรงแรม
คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมาก จนถึงระดับปานกลาง
และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน
ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ
5,622 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้
อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม
คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาท โดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่ เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ยังรวมถึงร้าน Street Food อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ (ที่มา: Euromonitor International 2018)
ธุรกิจขนส่ง
คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนำเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
หมายเหตุ : 1/ เฉพาะบริษัทที่เป็นนิติบุคคล และส่งงบการเงินปี 2561
อย่างไรก็ตาม นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง จากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงแล้ว ยังมีผลกระทบ เชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจต้นน้ำ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ข้าว รวมถึงธุรกิจปศุสัตว์ทั้งโค สุกร และสัตว์ปีก อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเชื้อเพลิง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลกระทบให้ GDP ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์
ทั้งนี้ ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการ เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงิน และด้านการคลัง โดยมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือต่างๆ อาทิ
- การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ โดยให้สถาบันการเงินของภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.), ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบ
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม
- การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน (Landing Fee)
- การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน
สำหรับ ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการผ่อนปรน เงื่อนไขการชำระเงินกู้ สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-19) โดยจะต้องอยู่ในกลุ่มธุรกิจ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการขายส่ง ขายปลีกสินค้าให้นักท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
- ลดอัตราดอกเบี้ย ตามสัญญาเงินกู้ลง 20% ของดอกเบี้ยจ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 4%)
- พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชำระเงินต้น ให้ชำระดอกเบี้ย 50% – 100% ตามความรุนแรงของผลกระทบ ทั้งนี้ ในส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชำระ หรือที่ชำระไม่ครบ ผ่อนปรนให้ชำระได้ ภายหลังในระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี
- ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาพักชำระเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 4 ปี
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม
- ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 10% ของดอกเบี้ยจ่ายเป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 4%)
- พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชำระเงินต้น ให้ชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 100%
- ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ไม่เกินระยะเวลาพักชำระเงินต้น
นอกจากนี้ ยังจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกหลายมาตรการ ทั้งมาตรการเสริมสภาพคล่อง ให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และมาตรการช่วยเหลือพนักงาน/ลูกจ้างที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบ
รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ผู้ค้ารายย่อยและอาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รายละเอียดอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งธนาคารออมสิน ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไป” ดร.ชาติชายกล่าว