onlinenewstime.com : สสส. เผยสุดยอดผลงานคลิปสั้น “อย่าปล่อยให้เหล้ามาลวงเรา” โจทย์กรุ๊ปเลือดเมา = คุก คว้าถ้วยพระราชทาน ชี้ชัดเดินหน้านำคลิปเผยแพร่รณรงค์ เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความสูญเสีย บาดเจ็บ และตาย
โครงการปิ๊งส์ โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวง สาธารณสุข กรมการขนส่งทางบก กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และเครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย
ชวนเยาวชนหรือบุคคลทั่วไป ที่มีอายุ 15-25 ปี ประกวดคลิปสั้น สารคดีสั้น และหนังสั้นด้วยมือถือ โครงการ “อย่าปล่อยให้เหล้ามาลวงเรา” ภายใต้โจทย์ กรุ๊ปเลือดเมา = คุก และ หยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จากข้อมูลของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน และกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ และการเสียชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ที่ผ่านมาพบว่า การเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ และการเสียชีวิตของคนไทย เทียบกับปี 2561 พบยอดผู้เสียชีวิต จำนวน 4,631 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 40 ราย จำนวนผู้บาดเจ็บ 3,829 ราย ลดลง 176 คน และจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ มีจำนวนลดลง 50 ครั้ง (จาก 3,841 ครั้ง เป็น 3,791 ครั้ง)
โดยผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต พบเป็นเพศชายร้อยละ 65.06 ซึ่งกลุ่มอายุ 15-19 ปี เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด ร้อยละ 17.59
สำหรับการบาดเจ็บและการเสียชีวิตส่วนใหญ่ เกิดในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ร้อยละ 79.97 นอกจากนี้ ยังพบว่าการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการดื่มสุรา ของเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี มีจำนวน 1,445 ราย คิดเป็นร้อยละ 17.47 ของผู้ดื่มสุราทั้งหมดด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้สังเกตได้ว่า จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ละวันในช่วงเทศกาล มีจำนวนใกล้เคียงกับวันอื่นๆ นอกเทศกาล การเน้นบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และมีการปรับระบบการรณรงค์สื่อสาร สร้างความเข้าใจให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่ถูกต้อง อย่างจริงจังตลอดทั้งปี ไม่เฉพาะช่วงเทศกาล จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
จากการเปิดรับเยาวชน เข้าร่วมโครงการ มีผู้สนใจสมัครเข้ามาถึง 69 ทีม แต่มีเพียง 11 ทีมเท่านั้นที่ได้ลงมือผลิตคลิปสั้น โดยมีจำนวน 6 ทีมที่นำเสนอออกมา ในประเด็นกรุ๊ปเลือดเมา = คุก และจำนวน 5 ทีม ที่นำเสนอออกมา ในประเด็น หยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมา การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามเลี่ยงกฎหมายโดยการโฆษณาสร้างแบรนด์ ผ่านตราสัญลักษณ์ ที่ถูกจำกัด ตามมาตรการในการควบคุมการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551
ว่าห้ามโฆษณา และโฆษณา ต้องเป็นเรื่องสร้างสรรค์สังคม รวมทั้งต้องโฆษณา ในสิ่งที่ปรากฏในกฎกระทรวง ตามระยะเวลา ตามรูปแบบที่ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้กำหนดเท่านั้น
แต่ปัจจุบันบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ เป็นเครื่องดื่มตามกฎหมายอาหาร แล้วใช้สัญลักษณ์ของเครื่องดื่มอาหาร มาโฆษณาแทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นช่องว่างของกฎหมาย
จึงต้องหาวิธีการ และมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหา ตรงนี้เหมือนกับน้ำดื่ม โซดา ที่ใช้โลโก้คล้ายกัน แต่เจตนาโฆษณาสินค้าอื่นๆ ในแบรนด์นั้น ดังนั้นอาจต้องใช้กฎหมายอาหาร เข้ามาดำเนินการแทน โดยพิจารณาว่า เป็นการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ ทั้งนี้อยู่ที่เจตนา
ผลงานในประเด็นหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เรื่อง Late Night Ads : ทีม The1310 จากผู้ที่ทำงานอิสระ
- เรื่อง เรื่องเล่า(เหล้า) : ทีม Star Point จากโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง
- เรื่อง หลง : ทีม อยากทำProduction จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
- เรื่อง ความจริงที่ไม่ได้ยิน : ทีม Shawarma จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
- เรื่อง ติดตา(ม) : ทีม ATA จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น,วิทยาลัยนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยขอนแก่น
นายแพทย์นิพนธ์ กล่าวว่า “เชื่อว่าทั้ง 5 เรื่องนี้ เมื่อได้นำไปเผยแพร่ให้สังคม ด้วยสื่อที่เด็กและเยาวชนสร้างสรรค์ขึ้น จะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้สังคมเข้าใจและตระหนักถึงความตั้งใจที่จะแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาในโฆษณารูปแบบต่างๆได้”
ด้านนางนงนุช ตันติธรรม รองผู้อำนวยการสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุหลักมาจากการเมาแล้วขับ ซึ่งในการรณรงค์ที่ผ่านมา มีการบังคับใช้กฎหมาย
ในระดับที่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุ คือ การตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ซึ่งหากมีการเรียก ไม่ยอมเป่า ถือว่า “เมา” ศาลอาจพิพากษาลงโทษจำคุก หรือให้ใส่กำไลคุมประพฤติ ระหว่างรอการลงโทษ และหากยอมเป่าแล้วพบว่า มีค่าแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่า “เมา” เช่นกัน มีความผิด ตามกฎหมายจราจรจราจรทางบก มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 – 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสามารถสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบขับขี่ และสามารถยึดรถไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน
หากดื่มแล้วขับ เกิดอุบัติเหตุแล้ว ผู้ขับขี่ไม่ยอมเป่า และไม่ยอมให้ตรวจเลือด ให้สันนิษฐานว่าเมาสุราทุกราย และในกรณีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต ญาติมีสิทธิร้องขอ ให้พนักงานสอบสวน ส่งตรวจเลือดผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งสถานพยาบาลของรัฐบาลสามารถตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดทุกราย ภายใน 4 ชั่วโมง
โทษสำหรับผู้ที่มีค่าแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถ้าขับรถไปชนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจ มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสามารถสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือเพิกถอนใบขับขี่ไปเลย
ถ้าขับรถชนผู้อื่น ได้รับอันตรายอย่างสาหัส มีโทษจำคุก 2-6 ปี ปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสามารถสั่งพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปีหรือเพิกถอนใบขับขี่ไปเลย
และถ้าขับรถชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุก 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลสามารถสั่งเพิกถอนใบขับขี่เลย และในกรณีผู้ขับขี่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือใช้ใบขับขี่ชั่วคราวหากตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าผิดกฎหมาย
ผลงานในประเด็นกรุ๊ปเลือดเมา = คุก
- เรื่อง พี่ยังไหว : ทีม Dark จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
- เรื่อง สืบจับกรุ๊ปเมา : ทีม พเนจรจัด จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
- เรื่อง แคร์(เหล้า) : ทีม SJ Production จากโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี
- เรื่อง แถวตรง : ทีม ผู้หญิงใส่แว่นคนนั้น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- เรื่อง Drink and DriveStory : ทีม Art Gallery จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม เรื่องซาซี้: ทีม Shin Young จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ทั้ง 6 เรื่องนี้สร้างสรรค์ออกมาได้ดีมาก เป็นคลิปที่สนุก เนื้อหาเข้าใจง่าย ชาวบ้านดูแล้วเข้าใจ แถมยังได้ความสนุกสนานไปด้วย สามารถแปรข้อกฎหมายที่ยากๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ในเวลาที่สั้น
และสามารถเป็นกระบอกเสียง ในการสื่อสารให้สังคมได้รู้ว่าหากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ จะต้องถูกตรวจแบบนี้
ด้านนายดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ผลงานคลิปสั้น สารคดีสั้น และหนังสั้นที่ผลิตจากโทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟนในครั้งนี้ มีความหลากหลายและน่าสนใจ
จากการตัดสินและคัดเลือก จากคณะกรรมการ โดยใช้เกณฑ์ในการตัดสินที่เหมือนกันว่า แนวความคิดมีความชัดเจน ที่สามารถตอบโจทย์เชิงประเด็นได้ อีกทั้งไอเดียที่สื่อออกมา มีความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ อาทิ วิธีการเดินเรื่อง วิธีการนำเสนอ วิธีการคิด มุมมอง แปลกใหม่ น่าสนใจ
- ผลงานที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศไปครองได้แก่ผลงานในหัวข้อ กรุ๊ปเลือดเมา = คุก เรื่องสืบจับกรุ๊ปเมา : ทีมพเนจรจัด จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, โล่เกียรติคุณ , ประกาศนียบัตร และเงินรางวัล 30,000 บาท
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 เป็นผลงานในประเด็นกรุ๊ปเลือดเมา = คุก เรื่อง Drink And Drive Story ของทีม Art Gallery จาก มหาวิทยาลัยศรีปทุม รับเงินรางวัล 20,000 บาท โล่เกียรติคุณและประกาศนียบัตร
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ผลงานในประเด็นหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่องLate Night Ads : ทีม The1310 จากผู้ที่ทำงานอิสระ รับเงินรางวัล 10,000 บาท โล่เกียรติคุณและประกาศนียบัตร
- และรางวัลชมเชย รับเงินรางวัล 5,000 บาท และประกาศนียบัตร ได้แก่ผลงานในประเด็นหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่องแถวตรง : ทีม ผู้หญิงใส่แว่นคนนั้น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงานทั้งหมดนี้จะถูกนำไปเผยแพร่ เพื่อรณรงค์ สื่อสาร และกระจายออกสู่สังคมทุกช่องทาง เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับสังคม สามารถกระตุ้นจิตสำนึก ให้เกิดความตระหนักถึงอันตราย รู้เท่าทันอันตราย ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ลดการดื่มแล้วขับ และลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ผู้ที่สนใจรับชมผลงานทั้ง 11 เรื่องนี้ สามารถติดตามชมได้ที่ เว็บไซต์ และ เวบไซต์
นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีการจัดรวมแผ่น เพื่อส่งต่อไปยังสถานศึกษา และหน่วยงานที่สนใจ ในทุกจังหวัดทั่วประเทศด้วย หน่วยงานใดต้องการ สามารถติดต่อมารับได้โดยตรงที่ โครงการปิ๊งส์ แผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. โทรศัพท์ 02-298-0988-9 ต่อ 102