www.onlinenewstime.com : สารเคมีกำจัดศัตรูพืชถูกนำมาใช้ทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา ชี้แนวโน้มของปริมาณการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกร ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกายทั้งแบบพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง และยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
สถานการณ์การเจ็บป่วย จากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของประเทศไทย ในปี 2544-2560 รายงานผู้ป่วยได้รับพิษ จากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช จำนวน 34,221ราย เสียชีวิต 49 ราย เฉลี่ยป่วยปีละ 2,013 ราย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุ 45-54 ปี ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยอัตราป่วยด้วยโรคพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในปี 2561 พบมากที่สุด ในจังหวัดร้อยเอ็ด รองลงมาคือจังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดลำปาง ซึ่งผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีอัตราความเสี่ยงถึงร้อยละ 40.99
พบผู้ป่วยสูงสุด ในช่วงเดือน มิ.ย.– ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน เกษตรกรมักทำการเพาะปลูก และมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชปริมาณมาก ส่วนอัตราป่วยด้วยโรคพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ของเขต12 ในปี2561 พบอัตราป่วยสูงสุด ที่จังหวัดสงขลา รองลงมา คือ จังหวัดตรังและ จังหวัดสตูลตามลำดับ
ดร. นายแพทย์สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา กล่าวว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืช สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ ทางการหายใจ ทางปาก และ ทางผิวหนัง
ดังนั้น จึงไม่ควรฉีดพ่นในขณะลมแรง หรือฝนตก และควรยืนอยู่เหนือลมเสมอ สวมใส่อุปกรณ์ป้องส่วนบุคคล เช่น หน้ากากป้องกันสารเคมี
ห้ามกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่ ในขณะผสมสารเคมี ตรวจเช็คอุปกรณ์การฉีดพ่น ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุด ก่อนการใช้ ในกรณีที่หัวฉีดอุดตัน ห้ามใช้ปากเป่าหัวฉีดพ่น แต่ให้ถอดหัวฉีด ออกมาทำความสะอาด โดยการแช่ในน้ำ หรือใช้ไม้เขี่ยแล้วล้างน้ำ
ควรสวมใส่ถุงมือ และเสื้อผ้าให้มิดชิด หากสารเคมีหกเปรอะเปื้อนร่างกาย ให้ใช้น้ำสะอาดชำระล้างนานอย่างน้อย 15 นาที รีบอาบน้ำฟอกสบู่ และเปลี่ยนเสื้อผ้า
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แบ่งออกได้หลายประเภท
1. สารกำจัดแมลง หากได้รับในปริมาณเข้มข้นสูงทันที จะทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ รูม่านตาหดเล็ก น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย และเหงื่อออกมาก อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หัวใจอาจเต้นช้า หรือเร็ว ความดันเลือดอาจจะต่ำ หรือสูง กล้ามเนื้อเป็นตะคริวและอ่อนแรง รวมถึงอาจมีอาการหายใจแผ่ว บางรายอาจชักซึม หรือหมดสติ บางรายเกิดอัมพาตของเส้นประสาทสมอง กรณีสัมผัสทางผิวหนัง พบอาการผื่นคัน แสบร้อนชา บริเวณที่สัมผัส
2. สารกำจัดวัชพืช อาการพิษเฉียบพลัน มักทำให้เกิดแผลในปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก อาเจียน ปวดท้อง แสบร้อนในอก ระยะต่อมา เกิดปัสสาวะออกน้อย ไตวาย ตับอักเสบ หายใจหอบเหนื่อย และมีอัตราการเสียชีวิตสูง จากระบบอวัยวะไม่ทำงาน หากสัมผัสทางผิวหนัง ทำให้เกิดผิวหนังไหม้ แผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อน และเล็บเปลี่ยนสีขาว หรือเหลือง
3. สารกำจัดเชื้อรา หากได้รับปริมาณมาก หรือความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มักพบอาการคอแห้ง แสบจมูก ไอ เคืองตา ตาแดง คันตามผิวหนัง และผื่นแดง
4. สารกำจัดหนู หรือสัตว์กัดแทะอื่น ส่วนใหญ่ มีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง บางราย เกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน และบางราย มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบากร่วมด้วย
ดร. นายแพทย์สุวิช กล่าวเพิ่มเติมว่า สคร. 12 สงขลาขอเชิญชวนเกษตรกร ลดละเลิก การใช้สารเคมี โดยการทำเกษตรอินทรีย์ และการใช้สารชีวภาพ แทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้เกษตรกรควรมีพฤติกรรมที่ปลอดภัยด้วยการ “อ่านใส่ถอดทิ้ง”
“อ่าน“ฉลากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชก่อนใช้ และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด “ใส่”อุปกรณ์เครื่องมือ ป้องกันอันตรายจากสารเคมี ขณะทำงาน เช่น เสื้อผ้ามิดชิดรัดกุม สวมหน้ากาก ถุงมือ และรองเท้า
“ถอด”ชุด และอุปกรณ์ทุกชิ้น ที่ใช้ขณะฉีดพ่น หรือทำงาน แยกซักจากเสื้อผ้าอื่น แล้วรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และ “ทิ้ง”ผลิตภัณฑ์บรรจุสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ให้ถูกต้อง คัดแยกออกจากขยะทั่วไป ให้อยู่ในกลุ่มขยะอันตราย ทิ้งให้ห่างไกลจากแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน ในสิ่งแวดล้อม ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
Cr. สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค