fbpx
News update

เผยมาร์เก็ตแคป 100 อันดับบริษัทขนาดใหญ่ของโลกเติบโตแข็งแกร่งก่อนโควิด-19

Onlinenewstime.com : PwC เผยมาร์เก็ตแคปของ 100 บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้น 20% ระหว่างเดือนมี.ค. ถึง ธ.ค. 62 ก่อนปรับตัวลดลง 15% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปีนี้

โดยบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย ซาอุดิ อารามโก ครองแชมป์ บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุดของโลก หลังสร้างสถิติการเข้าตลาด ด้วยมูลค่าไอพีโอสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ส่วนมาร์เก็ตแคปของไมโครซอฟ และ แอปเปิล ณ สิ้นมี.ค. 63 สูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ด้านมาร์เก็ตแคปของบริษัทจากยุโรปในท็อป 100 ปรับตัวลดลงมากที่สุด ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เช่นเดียวกับมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทย ที่หายไปเกือบ 5 ล้านล้านบาท

นาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Global Top 100 companies by market capitalisation ของ PwC ที่ทำการวิเคราะห์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของ 100 อันดับบริษัท ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุดของโลกใน 2 ช่วงเวลา ได้แก่ ระหว่างเดือน มีนาคม ถึง ธันวาคม 2562 และ มกราคม ถึง มีนาคม 2563

ชาญชัย ชัยประสิทธิ์

เพื่อให้ทราบถึงการดำเนินงาน ของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเหล่านี้ ว่าเป็นอย่างไร และก่อนที่วิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อตลาดโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงวิธีการรับมือกับภาวะวิกฤตในช่วงแรกว่า ในช่วงระหว่างเดือน มีนาคม ถึง ธันวาคม ปีที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปของ 100 บริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำของโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงาน ที่ยังคงสามารถยืนอยู่เหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ท่ามกลางความผันผวนของตลาด ทีเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นาย รอส ฮันเตอร์ หัวหน้าศูนย์ไอพีโอของ PwC กล่าวว่า “ในช่วง 9 เดือน สิ้นสุดธันวาคมปีที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปของ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลกเติบโตขึ้น อย่างน่าประทับใจที่  20%  โดยได้รับแรงสนับสนุน จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ ซาอุดิ อารามโก ที่กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก หลังการเข้าตลาด

และแม้ว่ามูลค่าตลาดรวมในช่วง 3 เดือนถัดมา จะปรับตัวลดลงถึง 15% แต่บริษัทที่ติดอันดับท็อป 100 ของโลก ก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีในกลุ่มอุตสาหกรรมของพวกเขา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุน ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ขอบเขต และแนวทางในการรับมือกับวิกฤตของบริษัทขนาดใหญ่ รวมไปถึงการลงทุนหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”   

การดำเนินงานของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกันไป

สำหรับ ซาอุดิ อารามโก นั้น ได้ติดอันดับ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 1 หลังจากสร้างสถิติมูลค่าไอพีโอ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของโลก เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ยังคงสามารถรักษาอันดับในตำแหน่งนี้ไว้ได้

เช่นเดียวกันกับ ไมโครซอฟ และ แอปเปิล ที่แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่มาร์เก็ตแคปของทั้ง 2 บริษัทกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ในส่วนแอมะซอน  มาร์เก็ตแคปของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 แตะ 9.71 แสนล้านดอลลาร์ และหลังจากนั้น ก็ได้พุ่งสูงเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการชอปปิงออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากมาตรการการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ ข้อมูลยังพบว่า มีเพียง 10 บริษัทใน 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลกเท่านั้น ที่มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น ระหว่างเดือนธันวาคม 2562 ถึง มีนาคม 2563 ยกตัวอย่าง เช่น เน็ตฟลิกซ์ ที่ขยับจากการเป็น 1 ใน 10 บริษัท ที่มีมาร์เก็ตแคปลดลงมากที่สุดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม 2562 (-9%) มาเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 (+16%)

ขณะที่ เทสล่า ที่ติดอันดับ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลก และติดอันดับ 1 ใน 10 บริษัทที่มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นทั้ง 2 ช่วงเวลา โดยมีมาร์เก็ตแคปปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่ามาที่ 9.6 หมื่นล้านดอลลาร์

มุมมองในระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ทุกภูมิภาคทั่วโลก เห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมาร์เก็ตแคปของบริษัท ที่ถูกรวมอยู่ใน 100 อันดับบริษัทขนาดใหญ่ของโลกจนถึงเดือนธันวาคม 2562 ก่อนที่มาร์เก็ตแคปของบริษัทเหล่านี้ จะปรับตัวลดลงในทุก ๆ ประเทศ (ยกเว้น ซาอุดิอาระเบีย)

โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มาร์เก็ตแคปของบริษัทสัญชาติยุโรป ที่ติดอันดับ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลก มีการปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 25% (9.56 แสนล้านล้านดอลลาร์)

ส่วนบริษัทสัญชาติอังกฤษ ที่ติดอันดับท็อป 100 ซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 2% ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม 2562 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงถึง 28% ณ เดือนมีนาคม 2563

อย่างไรก็ดี บริษัทสัญชาติอเมริกัน ยังคงครองอันดับที่ 1 ในแง่ของจำนวนบริษัทที่ติดอันดับ และมูลค่ามาร์เก็ตแคป โดยแม้ว่า มาร์เก็ตแคปในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ถึง มีนาคม 2563 จะลดลงมาที่ 2,204 พันล้านดอลลาร์ (14%) ก็ตาม

ในส่วนของบริษัทสัญชาติจีน  ที่มีจำนวนบริษัทในรายชื่อ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลก มากเป็นอันดับที่ 2 หรือ 14 บริษัท ได้ลดจำนวนลงไป 1 แห่งในปีนี้ ซึ่งนี่ยิ่งทำให้ช่องว่างอันดับระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหรัฐอเมริกานั้นกว้างขึ้น

พิษโควิด-19 กระทบมาร์เก็ตแคปของบริษัทไทย

นายชาญชัย กล่าวเสริมว่า “สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ก็ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ไม่แตกต่างจากทั่วโลก จริงอยู่ว่า ภาพรวมในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น แต่ไม่ได้สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีเม็ดเงิน จากการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงินของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก ที่ถูกอัดฉีดเข้ามาในระบบ ทำให้เม็ดเงินเหล่านั้นไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นภูมิภาคในช่วงสั้น”

จากข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2563 อยู่ที่ราว 12 ล้านล้านบาท หรือลดลงเกือบ 28% จากเดือน ธันวาคม 2562 ที่ 16.7 ล้านล้านบาท เมื่อพิจารณามาร์เก็ตแคปของหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งเป็นหุ้น 100 อันดับแรกของบริษัทขนาดใหญ่ที่ จัดอันดับตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันในตลาดหุ้นไทยก็ลดลงเช่นกันราว 20% ที่ 9.4 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2563 จาก 11.8 ล้านล้านบาท ณ เดือน ธันวาคม 2562[1]

“อย่างไรก็ดี การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นจะยั่งยืนหรือไม่ องค์ประกอบสำคัญ อยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเวลานี้ ส่งสัญญาณชะลอตัวที่ชัดเจน กำลังการผลิตมีแนวโน้มลดลง ตามปริมาณการส่งออกที่ลดลง การท่องเที่ยวที่ซบเซา และการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว

ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องติดตามปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะเห็นความชัดเจนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นไปในทิศทางใด และผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวต่อการลงทุน” นาย ชาญชัย กล่าวสรุป


[1] ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย