fbpx
News update

ไขมันพอก ภัยเงียบที่รู้ตัวก็อาจสายไป

onlinenewstime.com : ปัจจุบันผู้คนสามารถเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน ยิ่งพบเจอได้ง่าย เมื่อถึงเวลาตรวจสุขภาพจึงต้องกังวลกับ คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ โดยเฉพาะค่าน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีผลให้เกิดความเสี่ยงกับสารพัดโรค

นอกจากความเสี่ยงในโรคเบาหวานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวไม่แพ้กัน คือ ไขมันพอกตับ ที่เกิดจากการที่ร่างกาย ไม่สามารถนำไขมันที่รับประทานแล้วไปใช้ได้หมด จนทำให้เกิดการสะสมอยู่ที่ตับ


พญ. ปิติญา รุ่งภูวภัทร

พญ. ปิติญา รุ่งภูวภัทร อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและโรคตับ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ เนื่องจากผู้ป่วย มักไม่รู้ตัวว่าตับมีความผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีอาการใดๆ มักตรวจพบและได้รับการวินิจฉัย เมื่อมาตรวจสุขภาพประจำปี โดยอาจมีอาการอ่อนเพลียควบคู่ และมีอาการจุกแน่นบริเวณชายโครงขวา

ภาวะไขมันพอกตับโดยส่วนใหญ่ มักพบในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการอ้วนลงพุง ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก ชอบรับประทานอาหารหวาน ไม่ออกกำลังกาย และส่วนใหญ่ไขมันพอกตับระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดการอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้กลายเป็นตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับได้

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันพอกตับ ยังพบความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้มากกว่าผู้ป่วย ที่ไม่มีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งภาวะนี้ เกิดจากร่างกาย ไม่สามารถนำไขมันที่เรารับประทานไปใช้ได้หมด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีอาการ จึงอาจทำให้ผู้ป่วย ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะไขมันพอกตับ

ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรือทุก 6 เดือน จะช่วยให้พบความผิดปกติของตับได้เร็วยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะไขมันพอกตับ สามารถตรวจเจอในระยะแรกๆ ผ่านการตรวจเลือด อัลตร้าซาวด์ หรือการตรวจด้วยเครื่อง FibroScan ประกอบกับวิธีการป้องกัน คือควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว หรือ อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง เช่น เนื้อติดมัน เบคอน แฮม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เบเกอรี่ ครีมเทียม

หลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรุกโตส เช่น เครื่องดื่มที่มีรสหวาน คุกกี้ ลูกอม น้ำผลไม้ (ควรรับประทานผลไม้ทั้งผลมากกว่า) และแนะนำว่า ควรรับประทานไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที

หากใครอยู่ในเกณฑ์อ้วน คือ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ให้ลดน้ำหนักตัว และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ ว่าควรจะมีน้ำหนักประมาณเท่าไร นอกจากนี้ ควรลดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงต่อวัน และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี