Onlinenewstime.com : บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจประจำปี 2563 พร้อมเปิดตัว PASSION 2025 โชว์ศักยภาพความแข็งแกร่ง และกลยุทธ์การปรับตัว ในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครื่องดื่มครบวงจรอันดับหนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียน ที่เติบโต มั่นคง ยั่งยืน
นำโดย คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา, รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ คุณไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย), ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย คุณเลสเตอร์ ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอลล์ ประเทศไทย คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) และ ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อเช้าวันนี้ ( 1 ตุลาคม 2563)
คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง กลุ่มไทยเบฟ ก็สามารถยังยืนหยัด พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้มากกว่าเดิม แม้เราจะได้รับผลกระทบต่อยอดขายบ้าง
ในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญ กับพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนของเรา โดยได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติพิเศษในสถานการณ์ COVID-19 หรือ ThaiBev Situation Room (TSR) เพื่อเป็นศูนย์ติดตามข้อมูลข่าวสาร และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงติดตามการดำเนินงาน ของกลุ่มไทยเบฟ ให้สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตามจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
ดำเนินการดูแลสุขภาพของพนักงาน ซึ่งเป็นบุคลากรกลุ่มสำคัญ ในการสนับสนุนให้ธุรกิจ สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และยังได้นำเอารูปแบบการปฏิบัติงานในระบบดิจิทัล มาเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้มากกว่า 95% ของพนักงานบริษัทฯ สามารถเข้าสู่กระบวนการทำงานของระบบดิจิทัล
ในวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ ไทยเบฟให้ความสำคัญ กับสุขภาพของพนักงาน เครือข่ายคู่ค้า บุคลากรแนวหน้าทางการแพทย์ และบุคลากรภาครัฐ โดยได้ลงทุนในการผลิต และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ จัดตั้งศูนย์ตรวจโควิด-19 แบบ PCR ดำเนินการแจกจ่ายแอลกอฮอล์ ไปกว่า 1 ล้านลิตร ผลิตและแจกจ่ายหน้ากากอนามัย เพื่อให้ความปลอดภัยกับทุกภาคส่วน และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเราทุกท่าน
ความก้าวหน้าที่สำคัญในช่วง 6 ปี ตั้งแต่ 2014-2020 ตามแผน Vision 2020 นั้น ยอดขายและกำไรของเราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยเบฟ เป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยเราได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ อาหาร รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงานสนับสนุนธุรกิจ
ไทยเบฟคงความเป็นผู้นำในธุรกิจสุรา ในธุรกิจเบียร์ เมื่อรวมยอดขายของเบียร์ในประเทศไทย และในประเทศเวียดนาม ถือได้ว่าเรามีปริมาณยอดขายเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน เราเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อาทิ ชาเขียวโออิชิ น้ำดื่มคริสตัล และขับเคลื่อนธุรกิจอาหาร จนทำให้เป็นกลุ่มธุรกิจ ที่มีความใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย
นอกจากนั้นเราก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของ ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยเบฟ ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก Dow Jones Sustainability Indices -DJSI เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เป็น Word Industry leader ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 4 โดยไทยเบฟนับเป็นบริษัทแรก ในประเภทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของอาเซียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น World Leader ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่น ในการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ Vision 2020
วันนี้กลุ่มไทยเบฟพร้อมที่จะก้าวไปสู่ก้าวที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ต่อยอดความสำเร็จจาก Vision 2020 ขับเคลื่อนสู่ PASSION 2025 ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจึงมีแผนในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้า ภายใต้ 3 แนวทางหลักคือ
- BUILD (สรรสร้างความสามารถ) คือ สรรสร้างความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจที่มีอยู่
- STRENGTHEN (เสริมแกร่งความเป็นหนึ่ง) คือ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก เพื่อรักษาและก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน
- UNLOCK (สุดพลังศักยภาพไทยเบฟ) คือ นำศักยภาพของไทยเบฟที่มีอยู่ มาก่อให้เกิดพลังสูงสุด
ท้ายนี้ ผมขอยืนยันในศักยภาพของเรา ที่มีความพร้อมอย่างรอบด้าน และความมุ่งมั่น ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มไทยเบฟ ร่วมกับคณะผู้บริหาร และเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตไปด้วยกัน กับก้าวที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเป็น Stable and Sustainable ASEAN Leader ภายใต้ PASSION 2025 อันจะสะท้อนถึง ความมุ่งมั่น ตั้งใจและทุ่มเทของทุกคนในกลุ่มไทยเบฟ
ธุรกิจสุรา
คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา (รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุด ด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ : มีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2563) เผยว่า “ในปีที่ผ่านมา เราผ่านสถานการณ์ที่มีความท้าทาย อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน กลุ่มธุรกิจสุราในเมืองไทย ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ดีเหมือนเดิม เนื่องจากบริษัทมีความหลากหลายของตราสินค้า ซึ่งตอบรับการบริโภคสินค้าที่บ้าน และการทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับภาพลักษณ์สุราไทย (premiumization)
หากดูจากผลวิจัยการตลาด ในรอบ12 เดือนย้อนหลัง แสงโสมสามารถเติบโตกว่า 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในส่วนของ เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ ยังสามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 37% นอกไปจากนั้น เมอริเดียนบรั่นดี ยังสามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 50% และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 8%
ในปีนี้กลุ่มธุรกิจสุรา ยังได้มีการออกผลิตภัณฑ์ Phraya Elements ซึ่งเป็นสุราระดับพรีเมียม ที่ผ่านการเก็บบ่มในถังไม้โอ๊คยาวนานหลายปี ในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามหรูหราโดยวางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด”
ธุรกิจเบียร์ต่างประเทศ
คุณไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ เผยว่า “สำหรับตลาดเบียร์ในต่างประเทศ เรามีวิสัยทัศน์การนำเบียร์ช้างมุ่งสู่การเป็นที่ 1 ของเบียร์สัญชาติไทยในระดับสากล ทั้งในด้านปริมาณการขาย และในด้านผลิตภัณฑ์ที่จะต้องเป็นที่ 1 ในใจลูกค้าในระดับสากล
โดยได้รับการสนับสนุนจาก 2 แรงผลักดันสำคัญ อันได้แก่ การขยายฐานลูกค้าทางภูมิศาสตร์ของเบียร์ช้าง และการสร้างคุณค่าของตราสินค้า การขยายฐานลูกค้าทางภูมิศาสตร์ของเบียร์ช้าง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาค รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปสู่เมืองที่สำคัญต่าง ๆ ในต่างประเทศ ในแง่ของการขยายตัวในระดับภูมิภาค เบียร์ช้างได้เปิดตัวการผลิตภายนอกประเทศไทย เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562
โดยเบียร์ช้างได้รับการอนุญาตผลิตจาก Emerald Brewery Myanmar Ltd ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ F&N ซึ่งสามารถทำผลงานได้ดีในปีแรกของการดำเนินงาน โดยสามารถเจาะเข้าไปในจังหวัดหลักที่สำคัญ ๆ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาด เติบโตอย่างดีและมียอดขายที่เกินความคาดหมาย อีกทั้งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
โดยมีเป้าหมายคือการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ของแบรนด์ แรงผลักดันที่สอง คือการสร้างคุณค่าของตราสินค้า สื่อออนไลน์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแบรนด์เบียร์ช้าง รวมถึงการเข้าถึงผู้บริโภค ในระดับสากลโดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์โควิด19 โดยได้มีการสร้างแคมเปญสำหรับผู้บริโภค เพื่อเสริมสร้างความตื่นเต้น และความสัมพันธ์ทีดี รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งต่อกลุ่มเป้าหมายในระดับสากล
สำหรับซาเบโก้ และกลุ่มอุตสาหกรรมเบียร์ในเวียดนาม ในปี 2563 ที่ผ่านมานับเป็นอีกหนึ่งปี ที่มีความท้าทายจากการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด -19 ทั่วโลก ทำให้ต้องมีแผนการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ และสามารถกู้สถานการณ์ ให้เริ่มฟื้นตัวได้เป็นลำดับในช่วงไตรมาสที่ 2 จากการบริหารภายใต้กลยุทธ์หลักต่อไปนี้
- การขาย การทำงานเชิงรุก เพื่อสู้กับความท้าทายจากปัญหาโควิด-19 เราได้นำทรัพยากรจากการค้าขายผ่านธุรกิจอาหารหรือภัตตาคาร ไปใช้กับการขายให้กับผู้บริโภคในร้านค้าปลีก และยังเน้นการขายปลีกสมัยใหม่ โดยการออก 3 โปรโมชั่นใหญ่ นอกจากนี้ยังเร่งการสร้างช่องทางการขาย ผ่านทางออนไลน์อีกด้วย
- การตลาด เนื่องในโอกาสครบ 145 ปี ของซาเบโก้ เบียร์ Bia Lac Viet ได้ถูกผลิตและจำหน่าย เพื่อฉลองครบรอบ 145 ปี ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ยังมีการทดลองขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายในต้นเดือนตุลาคมนี้
- การผลิต สายการผลิตกระป๋องใหม่ ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 60,000 กระป๋องต่อชั่วโมง ได้เริ่มการใช้งานอย่างเป็นทางการในเดือน มิถุนายน ที่ โรงผลิตเบียร์ Saigon Quang Ngai อันบริษัทย่อยของซาเบโก้ ทั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มกำลังการผลิต ที่ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดในภาคกลางของเวียดนาม
- ห่วงโซ่อุปทาน เริ่มนำระบบ Warehouse Management System (WMS) มาใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคลังสินค้า และจะนำระบบ Transport Management System (TMS) อันเป็นระบบการบริหารจัดการการขนส่งมาใช้เป็นลำดับต่อไป
- ซาเบโก้ 4.0 การบริหารจัดการธุรกิจด้วยดิจิทัล โครงการซาเบโก้ 4.0 ซึ่งเป็นการริเริ่มระดับกลุ่มบริษัท ได้เริ่มดำเนินการเมื่อเดือน มิถุนายน โดยมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน และการบริหารจัดการ ด้วยการรวมศูนย์การบริหารจัดการ การทำระบบให้ง่ายต่อการใช้งาน และมีมาตรฐานเดียวกัน
- การลดค่าใช้จ่าย มีการบริหารจัดการด้านการเงินอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านวัตถุดิบ ด้านบรรจุภัณฑ์ ด้านการขนส่ง และการเช่าสถานที่”
ธุรกิจเบียร์ในประเทศ
คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย (2561-2563) รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางจำหน่าย (1 ตุลาคม 2563) เปิดเผยว่า “ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความท้าทาย และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ช้าง ยังคงรักษามาตรฐานในการดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง
จะเห็นว่าถึงแม้ภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทย ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมา จะมีการเติบโตเฉลี่ยในอัตราที่ลดลง แต่ช้างยังคงมีการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าตลาด โดยนอกจากตัวเลขในตลาดแล้ว ในส่วนของแบรนด์ช้าง เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ เพื่อรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องด้วย 3 กลยุทธ์ คือ
- การสื่อสารแบรนด์ (Brand Communication) เราวางแนวการสื่อสารเพื่อส่งความสุขจากแบรนด์ ถึงกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศภายใต้แนวคิด “วันเพื่อนมีได้ทุกวัน” ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์โฆษณาชุดต่าง ๆ ไปจนถึงรายการออนไลน์จากช่องทาง Chang World ที่นอกจากจะสร้างความสนุกแล้ว ยังสามารถย้ำชัดถึงตัวตนของแบรนด์ เรื่องมิตรภาพ ได้อย่างดีเยี่ยม
- การสร้างประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ (Brand Experiential) ซึ่งตลอดมา ช้าง เดินหน้าขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเข้าไปครองใจกลุ่มลูกค้ามากมาย พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ หลากหลายรูปแบบ ทั้งดนตรี และกีฬา ถึงแม้ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านม าเราจะไม่สามารถจัดงานอีเวนท์ต่าง ๆ ได้ จึงมีการสร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาด ในสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วม ระหว่างแบรนด์และกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ยังคงเตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เรายังมั่นใจในการเป็นผู้นำด้านการสร้างมาตรฐาน การจัดงานดนตรีและไลฟ์สไตล์อีเวนท์ เพื่อส่งความสุ ขและสร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนต่อไป
- การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Product/Packaging) ที่ผ่านมา เราถือโอกาสฉลองครบรอบปีที่ 25 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง “ช้าง โคลด์ บรูว์” (Chang Cold Brew) ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค หลังจากนั้น จึงตามมาด้วยการสร้างความตื่นเต้นให้ตลาดกับ“ไวรัลแพ็ค” (Viral Pack) หรือ “ช้าง โคลด์ บรูว์ ขนาด 25 กระป๋อง” ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดพิเศษ ที่มีความยาวมากที่สุดเท่าที่ช้างเคยจัดทำขึ้น จนเกิดกระแสการพูดถึงในโลกโซเชียลจำนวนมาก
และล่าสุดเรามีการเตรียมวางแผน การสร้างความตื่นเต้นให้ตลาดอีกครั้ง กับบรรจุภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่อยากให้สื่อมวลชน และลูกค้าทุกคนรอติดตามเร็วๆ นี้”
ธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอลล์
คุณเลสเตอร์ ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ ประเทศไทย (2561-2563) ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ (ประเทศไทย) (1 ตุลาคม 2563) เผยว่า “ไทยเบฟดำเนินธุรกิจทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยโฟกัสที่ 3 ตลาดหลัก 3 ตลาดใหม่ และ 4 ตลาดการส่งออก เราใช้ผลงานของแบรนด์ผ่านหมวดหมู่สินค้าต่าง ๆ ซึ่งไทยเบฟเป็นหนึ่งในบริษัท ที่มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
โดยผลการดำเนินการ 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ถือว่าดี หลังจากที่เรามีผลการดำเนินการขาดทุนมา เมื่อสองสามปีที่แล้ว บริษัทกลับมามีผลกำไร โดยมีผลมาจากการลงทุนในแบรนด์ อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนโครงการด้านการเงิน และการสร้างความยั่งยืนของผลกำไร
การมองไปข้างหน้านั้นธุรกิจต้องปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์โควิด โดยเปิดช่องทางการขายในรูปแบบสถานที่ การขยายช่องทางการขายไปยังช่องทางดิจิทัล โฟกัสที่ด้านสุขภาพ และการเป็นอยู่ที่ดี เรามองเชิงบวก ถึงผลการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้ และหวังว่าผลประกอบการเชิงบวกนี้จะมีผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้านี้”
ธุรกิจอาหาร
คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เผยว่า “กลุ่มธุรกิจอาหาร ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจ ปรับแผนกลยุทธ์ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภค ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากวิกฤติโควิด-19 เร่งขยายช่องทางการขายแบบ Takeaway และ Delivery ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และรูปแบบบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค อย่างแม่นยำและเข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด
แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มสามารถควบคุมได้มากขึ้น แต่ยังคงต้องให้น้ำหนัก กับการวางแผนธุรกิจอย่างระมัดระวัง เพื่อรองรับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เร่งการสร้างการเติบโตของธุรกิจจัดส่ง แบบเดลิเวอรี่ ที่เติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังคงได้รับความนิยม และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากลูกค้า ที่เริ่มคุ้นชินกับระบบดังกล่าว รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์และรูปแบบร้านใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนไป
สำหรับแผนกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจอาหารในปี 2564 ภายใต้ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ที่มีโจทย์ท้าทาย ควบคู่กับบทบาทของเทคโนโลยี ส่งผลให้การใช้ชีวิตของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว สร้างศักยภาพ พร้อมที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และพร้อมที่จะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์หลักๆ อันได้แก่
- การขยายสาขาในรูปแบบต่าง ๆ ให้เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
- กลยุทธ์การเติบโตที่มุ่งเน้นการขยายช่องทางการให้บริการ หลายรูปแบบ นอกเหนือจากรูปแบบของการนั่งทานที่ร้าน เช่น ช่องทางการจัดส่งถึงบ้าน (Home Delivery), Take home/Pick up, ไดร์ฟทรู และอื่น ๆ
- การนำเอาดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อสามารถสร้างประสบการณ์ ความสะดวกสบาย ให้กับลูกค้าได้แบบ Personalization และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้กับพนักงานมากยิ่งขึ้น
- Heath & Well-being มุ่งเน้นพัฒนา และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ที่ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่อง สุขภาพ-ความปลอดภัย
- การเสริมสร้างบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพด้านทักษะ ความชำนาญในการทำงาน เพื่อพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่มีความคล่องตัวสูง”
ธุรกิจต่อเนื่อง
คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง เผยว่า “แนวทางการทำธุรกิจบนหลักคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” เป็นสิ่งที่ไทยเบฟ ยึดปฏิบัติมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจมามากกว่า 44 ปี โดยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด มาเป็นหลักปฎิบัติ
โดยเน้นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารทรัพยากรธรรมชาติ สังคม ธรรมาภิบาล การพัฒนาบุคลากรองค์กร และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อการพัฒนาด้านความยั่งยืน อย่างรอบด้าน
ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ท้าทาย และเป็นบททดสอบการทำงาน ที่มีประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของทุกองค์กร จากสถานการณ์ที่ประเทศไทยมีการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ไทยเบฟมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้กลุ่มไทยเบฟ ยังได้มอบแอลกอฮอล์ให้กับโรงพยาบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสถานบริการสาธารณสุข 76 จังหวัด ทั่วประเทศไทย
และยังได้ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรด้านความยั่งยืนด้วยการสนับสนุนเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ กว่า 1 ล้านขวด เพื่อส่งมอบให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ทั่วประเทศ ท่ามกลางวิกฤตินี้เราและ TSCN พันธมิตรได้ทำการสำรวจและพบว่า คู่ค้าให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความปลอดภัยและการบริหารจัดการพนักงาน และมองว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญหลังวิกฤติการณ์ COVID
ทั้งหมดนี้ จึงตอกย้ำถึงแนวคิดการสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต พร้อมการสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน สู่กลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงาน สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ของการเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก”
ทรัพยากรบุคคล
ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล เผยว่า “ปี 2563 เป็นบทพิสูจน์ความท้าทาย ด้านการบริหารงานบุคลากรของกลุ่มไทยเบฟ อันเนื่องมาจากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ทั้งนี้ พนักงานกลุ่มไทยเบฟในประเทศไทย กว่าหนึ่งหมื่นคน ต้องปฏิบัติงานจากที่บ้าน ขณะที่อีกกว่าสามหมื่นคนยั งคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เพื่อส่งมอบสินค้า บริการ อาหารและเครื่องดื่มแก่ประชาชน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่กลุ่มทรัพยากรบุคคล ต้องร่วมให้ความเอาใจใส่ และช่วยลดความกังวลใจของเพื่อนพนักงาน โดยมีการดำเนินการในด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดทำประกันภัยความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ให้แก่พนักงานทุกคน ทุกตำแหน่งงาน การจัดให้มีสายด่วน 24 ชั่วโมง เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำแก่พนักงาน การมอบหน้ากากอนามัย ถุงมือยาง และอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ สำหรับพนักงานที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการมอบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคแก่พนักงานและครอบครัว
นอกจากนี้เรายังได้ขอความร่วมมือ ให้พนักงาน ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งสร้างสรรค์สังคมให้ปลอดภัย ด้วยการลงทะเบียนดิจิทัลทุกวัน เพื่อความปลอดภัยแก่พนักงาน ให้ห่างไกลจากพื้นที่สุ่มเสี่ยง
จากการทำงานร่วมกับพนักงานอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการ WOW หรือ Ways of Work และให้ความสำคัญ ที่จะสื่อสารแบ่งปัน
วิกฤติครั้งนี้ทำให้กลุ่มไทยเบฟ ได้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของพนักงาน และพร้อมที่จะเผชิญความท้าทายอื่น ๆ ในอนาคตได้อย่างมั่นใจ และ “ก้าวแกร่งกว่าเดิม” ซึ่งได้ส่งผลดี ต่อการยกระดับความผูกพันของพนักงานมากถึงร้อยละ 85 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศซึ่งมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 66 ทำให้ไทยเบฟ ได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work For และรางวัล HR Asia Most Caring Companies 2020 ซึ่งเป็นรางวัล ที่มอบให้แก่องค์กรที่ใส่ใจดูแลพนักงานได้ดีที่สุดในแต่ละประเทศอีกด้วยครับ”